จัดอันดับ 12 กองทุนรวม ETF 'ผลตอบแทน' สูงสุด

จัดอันดับ 12 กองทุนรวม ETF 'ผลตอบแทน' สูงสุด

ธีมการลงทุน ETF ปี 2565  เปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยได้เปิดกว้างขึ้นมาก และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น กองทุน GLD ผลตอบแทนนำโด่ง 7.07% รองมา กองทุน EBANK ผลตอบแทน 4.18% บล.บัวหลวง ชี้ธีมการลงทุนโลกเสมือน เมตาเวิร์ส และพลังงานสะอาด กระแสแรง

กระแสการลงทุนในปี 2565 ที่มาแรงและพลาดไม่ได้ ยามตลาดผันผวน  นั่นคือ "กองทุนรวม ETF" (Exchange-Traded Fund)  เปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยได้เปิดกว้างขึ้นมาก และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกได้

"ETF" เป็นกองทุนรวมที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง มีนโยบายการลงทุนแบบ Passive หรือสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัด 

"ETF"  นำเอาจุดเด่นของกองทุนรวมดัชนีและหุ้นผสานเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เช่น หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ น้ำมัน ทองคำ เป็นต้น

 

จัดอันดับ 12 กองทุนรวม ETF \'ผลตอบแทน\' สูงสุด
โดยหากพิจารณากองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ณ 18 มี.ค. 2565) พบว่า

กองทุนรวม ETF มีจำนวน 12 กองทุน และจัดอันดับผลตอบแทนสูงสุด ( FIN-App กองทุนรวม Mutual Fund  ( YTD ) ณ 18 มี.ค. 2565  ดังนี้ 

1.กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ : GLD 

  • ผลตอบแทน  7.07%
  • ดัชนีอ้างอิง The price of gold bullion 99.5%

2.กองทุนเปิด KTAM SET BANKING ETF TRACKER :  EBANK

  • ผลตอบแทน 4.18%
  • ดัชนีอ้างอิง หมวดธุรกิจธนาคาร

3.กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF : 1DIV

  • ผลตอบแทน  3.95%
  • ดัชนีอ้างอิง SET High Dividend 30

4.กองทุนเปิด KTAM SET ENERGY ETF TRACKER : ENY

  • ผลตอบแทน  3.35%
  • ดัชนีอ้างอิง หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค

5.กองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ : TDEX    

  • ผลตอบแทน 3.18%
  • ดัชนีอ้างอิง SET50

6.กองทุนเปิด MTRACK ENERGY ETF : ENGY 

  • ผลตอบแทน  3.09%
  • ดัชนีอ้างอิง หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค

7.กองทุนเปิด BCAP MSCI THAILAND ETF : BMSCITH 

  • ผลตอบแทน 3.08%
  • ดัชนีอ้างอิง MSCI Thailand ex Foreign Board Index

8.กองทุนเปิด BCAP SET 100 ETF : BSET100   

  • ผลตอบแทน 2.40%
  • ดัชนีอ้างอิง SET100 TRI

9.กองทุนเปิด BCAP MID SMALL CG ETF : BMSCG 

  • ผลตอบแทน -0.29%
  • ดัชนีอ้างอิง BCAP Mid Small Cap CG Index TR

10.กองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ : ABFTH 

  • ผลตอบแทน -1.82%
  • ดัชนี อ้างอิง iBoxx ABFTH Index

11.กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์  : CHINA           

  • ผลตอบแทน  -13.19%
  • ดัชนีอ้างอิง CSI 300 Index

12 .กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ : UHERO  (เริ่มเสนอขาย ก.พ. 2565 )                   

  • ผลตอบแทน  -8.75%  (ผลตอบแทน 1 เดือน)
  • ดัชนีอ้างอิง Solactive Video Games & Esports Index

 

"รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ"  ผู้อำนวยการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง กล่าวว่า  "กองทุนรวม ETF"  กลายเป็นสินทรัพย์การลงทุนอีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากกองทุนรวม ETF จำนวน 1,500 กองในปี 2551 ขยับขึ้นเป็น 7,600 กองในปี 2563

โดยนักลงทุนสามารถใช้กองทุนรวม ETF เป็นเครื่องมือในการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนโดยรวม ที่สำคัญสามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ทำให้ไม่ต้องรอลุ้นราคา NAV ณ สิ้นวันเหมือนกองทุนรวมทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลาย เช่น หุ้น (Equity ETF), กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในกระแส (Sector ETF, Thematic ETF), ตราสารหนี้ (Bond ETF), สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF) แม้กระทั่ง ETF ที่อ้างอิงสกุลเงินดิจิตอล (Cryptocurrency ETF)

โดยหากพิจารณากองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยทั่วไปแล้ว ETF ส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนแบบ Passive ซึ่งมีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบเเทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีที่อ้างอิงมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 5 ประเภท ได้แก่

  1. Equity ETF : มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นในประเทศ
  2. Sector ETF : มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม
  3. Foreign ETF : มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นต่างประเทศ
  4. Bond ETF : มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาตราสารหนี้
  5. Gold ETF : มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาทองคำ

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยได้เปิดกว้างขึ้นมาก และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกได้ ด้วยการลงทุนโดยตรงในกองทุนรวม ETF ผ่านบริการลงทุนต่างประเทศของโบรกเกอร์ไทยหลายแห่ง เป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้หลากหลายขึ้นในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น ธีมการลงทุนโลกเสมือน เมตาเวิร์ส( Metaverse) ที่อยู่ในกระแสขณะนี้

หลังจากที่ Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อสร้างความชัดเจนในการมุ่งสู่ธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว โดยนักลงทุนที่สนใจลงทุนตามธีมนี้ก็อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวม ETF ที่ชื่อว่า META หรือ The Roundhill Ball Metaverse ETF ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออกโดยบริษัท Roundhill Investments ซึ่งมีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Metaverse เช่น Nvidia, Roblox, Microsoft, Unity Software, Meta Platforms, Amazon หรือ Tencent เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบก่อนที่จะลงทุนในกองทุนรวม ETF ด้วย เช่น ขนาดกองทุน (AUM) ปริมาณการซื้อขายต่อวัน ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกกองทุนรวม ETF เป็นต้น

อีกธีมการลงทุนที่เป็นที่สนใจและอยู่ในกระแสของนักลงทุนทั่วโลกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าจะอยู่ต่อไปอีกหลายปี คือ ธีมการลงทุนในพลังงานสะอาดหรือการลดการใช้คาร์บอน 

เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ผู้นำทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ดังที่ได้มีการประชุมระดับโลกในงาน 2021 United Nations Climate Change Conference ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยหากนักลงทุนสนใจก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวม ETF ที่ชื่อว่า ICLN หรือ iShares Global Clean Energy ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออกโดยบริษัท BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกกองทุนรวม ETF ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งในด้านขนาดกองทุน AUM ที่สูงถึง 2.4 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และจำนวนกองทุนรวม ETF ที่มากถึง 390 กองทุน โดย ICLN ได้กระจายการลงทุนไปในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดทั่วโลก เช่น Enphase Energy, Vestas Wind Systems, Plug Power, Orsted หรือ Bloom Energy เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังมองหากองทุนรวม ETF สักกอง

"รัฐศรัณย์" แนะนำว่า อาจเริ่มต้นลงทุนกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย รวมถึง ETF ที่อ้างอิงดัชนีหลักของโลกอย่างดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตามคำแนะนำของตำนานนักลงทุนระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ที่ได้กล่าวในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2021 ของบริษัท Berkshire Hathaway ว่า หากยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้นรายตัวควรเลือกลงทุนในกองทุนรวม ETF และสามารถลงทุนด้วยวิธีทยอยลงทุน (DCA) ถือเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนที่มีเป้าหมายลงทุนในระยะยาว และต้องการให้เงินลงทุนเติบโตตามตลาดไปเรื่อย ๆ