EE เจรจาบิ๊กเนม ร่วมลงทุนโรงสกัดสารกัญชา-กัญชง คาดชัดเจนเม.ย.นี้ 

 EE เจรจาบิ๊กเนม ร่วมลงทุนโรงสกัดสารกัญชา-กัญชง คาดชัดเจนเม.ย.นี้ 

“อีเทอเนิล เอนเนอยี”เดินหน้าธุรกิจกัญชงครบวงจร เข้าซื้อหุ้นบริษัทปลูกกัญชง" ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ " เผย อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรลงทุนโรงสกัด คาดราคาหุ้นร่วงเหตุ นักลงทุนกังวลเพิ่มทุน

นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี หรือ EE  เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์3 ปี (ปี 2565-2567)ของบริษัทสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมกัญชาและกัญชงอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ

โดยธุรกิจต้นน้ำนั้น ล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อบริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด (CBDB) มูลค่า 650 ล้านบาท โดยมีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ตั้งอยู่ที่ตำบล หนองยวง จังหวัดลำพูน เนื้อที่รวม 28ไร่ 95 ตารางวา มีโรงเรือนปลูกพืชกัญชงมากถึง 60 โรงเรือน พื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 9,600 ตารางเมตร จำนวน 24,000 ต้น คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวและรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3  ปี 2565 เป็นต้นไป

โดยจะเข้ามาหนุนการเติบโตจากเดิมที่บริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด (CW) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EE ถือหุ้น 80% ซึ่งเป็นฟาร์มเพาะปลูกแบบโรงเรือน (Green House) ขนาด 9,000 ตารางเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวสามารถปลูกได้ 30,000 ต้น นอกจากนั้นยังการปลูกในพื้นที่นอกโรงเรือนอีก 20,000 ต้น ทั้งหมดตั้งอยู่ในที่ดินของบริษัทมีเนื้อที่ทั้งหมด 36 ไร่ใน อ.วิหารแดง จ.สระบุรี

รวมถึงบริษัทเตรียมลงทุนธุรกิจโรงสกัดสาร CBD จากกัญชงและกัญชา ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน เม.ย. นี้ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเริ่มสกัดสาร CBD ได้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจปลายน้ำของกัญชงกัญชาเพิ่มเติมด้วย โดยบริษัทจะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ

 นายวรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2565  ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 204.48 ล้านบาท  ส่วนใหญ่จะมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลผลิตกัญชง ทั้งใบและช่อดอก คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565  เป็นต้นไป โดยมีรายได้จากธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำ คาดว่ามีอัตรากำไรสูงกว่า ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้มากขึ้นและมั่นคงมากขึ้น ล้างขาดทุนสะสม 530ล้านบาทได้ภายใน2ปี

ส่วนราคาหุ้น EE ที่ปรับตัวลงในวานนี้ ( 16 มี.ค.) 14% คาดว่าเกิดจากผู้ถือหุ้นมีความกังวลการออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3,580 ล้านหุ้น ซึ่งจะมีผลทำให้เกิด Dilution Effect โดยฝ่ายบริหารจะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างผลประกอบการที่ดีเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์  และเมื่อผู้ถือหุ้นเห็นตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 แล้วจะสามารถยิ้มได้