ในทางกลยุทธ์ช่วงสั้น หุ้นงบดีอาจยังไม่น่าสนใจเท่ากับหุ้นที่ลงเยอะ 

ในทางกลยุทธ์ช่วงสั้น หุ้นงบดีอาจยังไม่น่าสนใจเท่ากับหุ้นที่ลงเยอะ 

สิ่งที่ตลาดรอดูคือความยืดหยุ่นเฟดต่อความไม่แน่นอน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) วันนี้ คาดไม่น่ามีเซอร์ไพรซ์เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ตามที่ประธานเฟดเคยแสดงเจตนาไว้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ตลาดจับตาคือ คณะกรรมการฯ จะมีมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอย่างไร? ดังนั้นเราคาดนักลงทุนจะให้น้ำหนักกับมุมมองดอกเบี้ยของกรรมการรายคน (Dot plot) ที่มีโอกาสออกมาเป็น 2 กรณี 1) เป็นบวก น่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้เพิ่มเป็น 5-6 ครั้ง (จากเดิม 3 ครั้ง) แต่อาจเห็นมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยระยะยาวที่ลดลง หรือมีการส่งสัญญาณเลื่อนการลดขนาดงบดุลออกไปอีกระยะ 2) เป็นลบ หากมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยทั้งปีนี้และระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการคงหรือร่นแผนลดงบดุลให้เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น
 

ราคาน้ำมันทรงตัวระดับสูง โรงกลั่นยังน่าสนใจกว่าต้นน้ำ ผลของสถานการณ์สงครามที่ทรงตัว และการล็อคดาวน์เมืองใหญ่ของจีนที่มีต่อเศรษฐกิจ อาจกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง ซึ่งอาจทำมให้มีแรงขายทำกำไรหุ้นพลังงานต้นน้ำ ขณะที่อาจมีแรงซื้อคืนหุ้นที่ปรับลดมากจากความกังวลต้นทุนด้านพลังงาน // ในเชิงผลประกอบการ เราคาดงบของหุ้นพลังงานต้นน้ำจะมีความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานะการป้องกันความเสี่ยงจากสัญญาล่วงหน้าที่น่าจะขาดทุนและลดทอนกำไรสุทธิลง แต่จะไม่มีผลกับกลุ่มโรงกลั่น ที่ได้ผลดีจากทั้งค่าการกลั่นและกำไรจากสต็อค ดังนั้นยังคงมุมมองว่าหุ้นโรงกลั่นน่าสนใจกว่าต้นน้ำ โดยนักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง 

 

 

ระยะสั้นหุ้นที่ลงเยอะน่าสนใจกว่าหุ้นที่งบดี

บนสมมติฐานว่าภาวะสงครามยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือยกระดับคู่ขัดแย้งจากรัสเซียไปเป็นนาโต้ รวมถึงเฟดยังพยายามส่งสัญญาณดูแลเศรษฐกิจไม่ให้เกิดการถดถอย เรามองหุ้นที่ปรับลดลงมาก (ไม่ว่าจะเพราะต้นทุนพลังงานหรือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์) อยู่ในจุดที่มีผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่น่าสนใจ และมีโอกาสเป็นเป้าหมายของ Window dressing ปลายมี.ค. ซึ่งได้แก่หุ้น SCC, PTTGC, BGRIM, GPSC, TASCO, AAV, EPG, SCGP, SFT, HANA, KCE, RBF, KEX, SYNEX, RS, VGI, EPG, MEGA, CBG (เก็งกำไรแค่ไม่เกินสิ้นมี.ค.นั)

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มพลังงาน PTTEP, BANPU, TOP (เน้นโรงกลั่น) 2) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 3) กลุ่มบันเทิง งบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 4) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ WFX, CV, UBE, RAM, IND, MAKRO, CPALL, JAS, BCP, AJ, PTL, PJW, III, TNP 5) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, TU, GFPT, KSL 6) ค่าระวางเรือ PSL, TTA 7) น้ำมันลง SCC, PTTGC, BGRIM, GPSC, TASCO, AAV, EPG, SCGP, SFT

ภาพรวมกลยุทธ์: กลับมาผันผวนในกรอบ 1,640-1,666 จุด โดยโฟกัสจะเริ่มมาอยู่ที่การประชุมเฟดสัปดาห์หน้า ติดตามความเสี่ยงบาทอ่อนค่าหลังราคาน้ำมันขึ้นสูง อาจทำให้ไทยมีโอกาสขาดดุลการค้า ซึ่งอาจกระทบ Fund flow ระยะสั้น //หุ้นแนะนำ: SCGP*, KCE*, HANA*, OSP*

แนวรับ: 1,640 / แนวต้าน : 1,666-1,680 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
 

 

 

ประเด็นการลงทุน

รัสเซียระงับส่งออกธัญพืชไปอดีตสหภาพโซเวียตชั่วคราว – รวมถึงการส่งออกน้ำตาลส่วนใหญ่ ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวว่า รัสเซียจะยังคงให้สิทธิ์เทรดเดอร์ที่ได้รับโควต้าอยู่ในขณะนี้เป็นกรณีพิเศษ

คาด GDP จีน Q1 ขยายตัว 0% หลังล็อกดาวน์หลายเมือง –มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรกปีนี้ลงเหลือ 0% และคาดว่าจีนจะพลาดเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ด้วย ซึ่งเป็นผลการใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ล็อคดาวน์)

งบประมาณรายจ่ายปี 66 –  ครม. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.74% 

THANI – บริษัทตั้งเป้าหมายยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปีนี้จะเพิ่มขึ้นแตะ 26,000-27,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ราว 23,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการเติบโตในการปล่อยสินเชื่อกลุ่มรถบรรทุกที่ยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มการนำเข้าและส่งออกที่ในช่วงไตรมาส 1/65 มีผู้ประกอบการเร่งออกรถบรรทุกเพื่อขนส่งสินค้ากลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น

 

ประเด็นติดตาม: 15-16 มี.ค. – US FOMC Meeting/ 16 มี.ค. – US Retail Sales เดือน ก.พ./ 17 มี.ค. – EU CPI เดือน ก.พ./ 23 ก.พ. – TH Export

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)