“วิกฤติ” ใน “วิกฤติ”

“วิกฤติ” ใน “วิกฤติ”

นอกจากวิกฤติสงครามรัสเซียยูเครนแล้ว ประเทศไทยยังมีอีกวิกฤติที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด นั่นคือ สถานการณ์โควิดไทย ที่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ 100% บวกกับวิกฤติพลังงานที่ไทยกำลังเผชิญก็เป็นเรื่องใหญ่ กระทบถึงต้นทุนผลิตทุกอย่าง ทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขให้ทันท่วงที

ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีทีท่าผ่อนคลายลง ต่างฝ่ายต่างยังแข็งกร้าว กระทบหนัก สะเทือนทั้งระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังบาดเจ็บสาหัส วิกฤติพลังงาน เงินเฟ้อ การคว่ำบาตรรัสเซีย คาดว่ายังคงลากยาวต่อไปอีกถึงกลางปีหน้า

ท่ามกลางความหวังของทั่วโลกว่าจะได้เห็นการเจรจา เพื่อยุติความขัดแย้งและได้สันติสุขกลับคืน หลังจากสร้างความเสียหายในพื้นที่ มีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย และผู้พลัดถิ่นหลายล้านคนหนีตายออกนอกประเทศ แต่เมื่อทั้งคู่ไม่ยอมลดราวาศอก ศึกครั้งนี้จึงไม่น่าจะจบลงง่าย

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เผยตัวเลขส่งออกที่ลดลงจากวิกฤติสงครามที่ยังไม่เห็นว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เริ่มกระทบต่อราคาวัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลายรายการที่ปรับราคาสูงขึ้น รวมถึงค่าระวางเรือที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน การชะลอตัวทางเศรษฐกิจเริ่มมีผล และจะเห็นชัดมากขึ้นช่วงต้นเดือน เม.ย.

 

ผลจากราคาวัตถุดิบที่ส่งผลต่อต้นทุน แต่ราคาขายไม่สามารถปรับขึ้นได้ตามต้นทุนที่แท้จริง สุดท้ายปริมาณคำสั่งซื้อก็จะลดลง และเมื่อไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้สิ่งที่ต้องทำคือ ลดปริมาณการส่งออก นั่นแปลว่าการส่งออกในไตรมาส 2 จะไม่เติบโต และเลวร้ายสุดคือ “ติดลบ”

ผู้ประกอบการเริ่มแสดงความกังวล เพราะราคาวัตถุดิบปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การขาดแคลนวัตถุดิบก็เริ่มตามมา ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก ยิ่งดันให้ของแพงไปทั่วโลก กระทบกำลังซื้อ ทำให้ปริมาณส่งออกของไทยลดลงแน่ 

ขณะที่ประเทศไทยเอง ยังมีอีกวิกฤติที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ สถานการณ์โควิดไทย ไม่ได้ทำให้นิ่งนอนใจได้ 100% แม้จะพยายามพูดพร่ำอยากให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น

แต่ความร้ายแรง การแพร่เชื้อที่ง่าย ตัวเลขติดเชื้อก็ไม่ได้ลดลง แม้จะคิดว่าแค่ติดเดี๋ยวก็หาย แต่มันก็ยังเป็นอุปสรรคก้อนใหญ่ขวางคลอง กิจกรรมเศรษฐกิจเดินได้ไม่คล่อง การท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟื้น

 

วิกฤติพลังงานที่ไทยกำลังเผชิญก็เป็นเรื่องใหญ่ กระทบถึงต้นทุนผลิตทุกอย่าง ล่าสุด “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้ขยายเพดานเงินกู้กองทุนน้ำมันฯ จากเดิมกำหนดไว้ 3 หมื่นล้านบาท เป็นไม่กำหนดเพดานกู้เงิน

โดยความสามารถกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถกู้เงินได้ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งวงเงินกู้เงินที่ขยายเพิ่มให้ จะทำให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ระดับ 30 บาทต่อลิตรได้นานขึ้น หลังประชุม ครม.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้เรียกถกทีมเศรษฐกิจ เพื่อหารือมาตรการรับมือผลกระทบที่กำลังรายล้อมประเทศอยู่ขณะนี้

เราคาดหวังจะเห็นมาตรการ “รับมือ” ที่เป็นประโยชน์และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที