ปรับพอร์ตเลือกหุ้นตามจังหวะ"น้ำมัน"ขึ้นลง

ปรับพอร์ตเลือกหุ้นตามจังหวะ"น้ำมัน"ขึ้นลง

ผลพวงจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง หลังนานาชาติเริ่มตัดความสัมพันธ์กับรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก

โดยปัจจุบันรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก มีกำลังการผลิตกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของกำลังการผลิตทั้งโลก และเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐ โดยมีลูกค้าหลัก คือ ยุโรปและจีน

ล่าสุด สหรัฐประกาศแบนนำเข้าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหินจากรัสเซีย ถือเป็นการตอบโต้ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังรัสเซียนำกำลังบุกถล่มยูเครน ตามด้วยสหราชอาณาจักรประกาศจะทยอยเลิกนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียภายในสิ้นปีนี้

ส่วนกลุ่มประเทศในยุโรปยังเสียงแตก เพราะรัสเซียเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลัก จึงมีทั้งฝ่ายที่ต้องการให้คว่ำบาตรรัสเซีย และฝ่ายที่ยังสนับสนุนการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย 

ขณะที่รัสเซียออกมาขู่ทันทีว่าหากชาติตะวันตกแบนนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจะได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งไปแตะ 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอย่างแน่นอน

โดยเมื่อต้นสัปดาห์ราคาน้ำมันพุ่งแรงติดจรวด เดินหน้าทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จ่อทะลุ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อเดือนก.ค. ปี 2551 ที่ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนดับเบิลยูทีไอจ่อทะลุ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เมื่อน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลักสำหรับภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม การเดินทางท่องเที่ยว ขนส่ง ฯลฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆ ขึ้นตามไปด้วย กลายเป็นภาระสำหรับผู้บริโภค

ปรับพอร์ตเลือกหุ้นตามจังหวะ\"น้ำมัน\"ขึ้นลง

ส่วนในมุมการลงทุน ย่อมมีทั้งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่ประโยชน์คงหนีไม่พ้น หุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากน้ำมันขาขึ้น กลุ่มโรงกลั่นที่จะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน

ในทางกลับกันกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันขาขึ้น จะเป็นธุรกิจที่อิงกับราคาน้ำมัน มีน้ำมันเป็นต้นทุนหลัก เช่น โรงไฟฟ้า, การขนส่ง, สายการบิน, ชิ้นส่วนวัสดุก่อสร้าง, ยางมะตอย, สีทาบ้าน, ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตร 

ซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นเหล่านี้ถูกเทขายหนัก แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการรีบาวด์ขึ้นมาบ้างแล้ว หลังราคาน้ำมันเริ่มชะลอความร้อนแรง เนื่องจากหวังว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนเริ่มคลี่คลาย เมื่อประธานาธิบดียูเครนประกาศว่าจะไม่เร่งเข้าร่วมกับกลุ่มนาโต ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของรัสเซียเพื่อยุติสงคราม ขณะที่รัสเซียส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าเจรจากับยูเครน

ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนวันที่ 9 มี.ค. ดิ่งแรงกว่า 10% ทันที โดยสัญญาน้ำมันดิบดับเบิลยูทีไอส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 15 ดอลลาร์ หรือ 12.1% ปิดที่ 108.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 16.84 ดอลลาร์ หรือ 13.2% ปิดที่ 111.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถูกกดดันจากซัพพลายที่จะเพิ่มขึ้น หลังผู้ผลิตน้ำมันหลายประเทศมีแผนที่ปรับเพิ่มกำลังการผลิต ทั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และเวเนซุเอลา

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ยังเต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งประเด็นสงครามที่แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณบวก แต่คงไม่ได้ปิดฉากลงง่ายๆ เพราะล่าสุดรัสเซียโจมตีโรงพยาบาลแม่และเด็กในยูเครนจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ดังนั้นหากสถานการณ์ยิ่งยืดเยื้อ ราคาน้ำมันจะทรงตัวระดับสูงต่อไป

ขณะเดียวกันต้องติดตามท่าทีของกลุ่มโอเปก ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะลึกๆ แล้วคงไม่อยากเพิ่มกำลังการผลิต เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากน้ำมันขาขึ้น โดยมีการประเมินว่ากว่าที่ราคาน้ำมันจะกลับมาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คงจะเป็นช่วงครึ่งปีหลังไปแล้ว

ดังนั้น การลงทุนในหุ้นที่อิงกับราคาน้ำมันต้องจับจังหวะให้ดี ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะเหวี่ยงแรง พร้อมถูกขายทุกเมื่อ หากมีข่าวดีเกี่ยวกับสงคราม ขณะเดียวกันหากสถการณ์ตึงเครียดขึ้น มีการยกระดับความรุนแรง ราคาน้ำมันพร้อมพุ่งทันทีเช่นกัน