CSR เป็นขององค์กร แล้วความยั่งยืนเป็นของใคร
ในภาพใหญ่ ผลรวมของการทำ CSR ที่มาจากองค์กรต่างๆ ซึ่งพิจารณาได้ตั้งแต่ระดับชุมชนระดับประเทศ ไปจนถึงระดับโลก ยังมีข้อถกเถียงว่า จะนำไปสู่ความยั่งยืนของสังคม หรือความยั่งยืนขององค์กรมากกว่ากัน
จั่วหัวอย่างนี้ หลายท่านอาจจะงงว่า มีคำถามอย่างนี้ด้วยหรือ ก็ต้องเรียนว่า ใช่ และคำตอบก็มีอยู่ 2 แบบ ด้วย
คำตอบแบบแรก การทำ CSR คือ การดำเนินความรับผิดชอบของกิจการที่มีต่อสังคม ฉะนั้น ผลที่เกิดขึ้นก็ต้องเป็นไปเพื่อ ‘ความยั่งยืนของสังคม’ โดยรวม เช่น การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในรูปของการบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นเฉพาะหน้ารวมทั้งการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้เลี้ยงตัวเองได้ในระยะยาว หรือการดูแลบำบัดน้ำเสีย ของเสีย อากาศเสีย ก่อนปล่อยออกนอกโรงงาน เพื่อมิให้ชุมชนได้รับผลกระทบต่อสุขภาพและสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ฯลฯ
คำตอบแบบที่สอง ในเมื่อการทำ CSR เป็นขององค์กร เป็นการใช้ทรัพยากรของกิจการ ดังนั้น ผลที่องค์กรควรจะได้รับ คือ ‘ความยั่งยืนขององค์กร’ จากการที่กิจการได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม พูดอีกนัยหนึ่ง คือ สังคมให้การยอมรับสิ่งที่องค์กรดำเนินการ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อขัดแย้งหรือเกิดปัญหากับสังคม เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า การไม่เอารัดเอาเปรียบคู่ค้า จริยธรรมและความโปร่งใสในการให้บริการ ฯลฯ
อันที่จริง ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นคำตอบแบบใด การที่องค์กรได้ทำ CSR ในทั้งสองกรณี ก็ต้องถือว่าดีอยู่แล้ว เพราะผู้มีส่วนได้เสียซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่องค์กรได้รับผิดชอบต่อกลุ่มเหล่านั้น ได้รับประโยชน์สมตามเจตนารมณ์
แต่ในภาพใหญ่ ผลรวมของการทำ CSR ที่มาจากองค์กรต่างๆ ซึ่งพิจารณาได้ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับประเทศ ไปจนถึงระดับโลก ยังมีข้อถกเถียงว่า จะนำไปสู่ความยั่งยืนของสังคม หรือความยั่งยืนขององค์กร มากกว่ากัน
ข้อถกเถียงในประเด็นนี้ ยิ่งมีการขยายวงมากขึ้น เมื่อกระแสเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) ได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินงานขององค์กรในปัจจุบัน เนื่องจากภาคธุรกิจได้ขานรับเอาแนวคิด ESG มาใช้เป็นภาษากลางในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน
ต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า ESG ปรากฎอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2004 ในเอกสารรายงานชื่อ “Who cares wins” ที่สนับสนุนแนวคิดของการบูรณาการปัจจัยสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในตลาดทุน ซึ่งเชื่อกันว่า ไม่เพียงนำไปสู่ผลลัพธ์ทางสังคมที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตัวตลาดทุนเอง ด้วยการทำให้ตลาดทุนมีความยั่งยืนมากขึ้น
รายงานฉบับนี้ เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่ นายโคฟี อันนัน ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น ได้เขียนจดหมายถึงบรรดาซีอีโอของสถาบันการเงินชั้นนำ 55 แห่ง เพื่อให้ช่วยหาวิธีในการผนวกเรื่อง ESG เข้ากับตลาดทุน ฉะนั้น ต้นเรื่องของแนวคิด ESG จึงมาจากผู้มีส่วนได้เสียที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน
การผลักดันการผนวกเรื่อง ESG จึงถูกดำเนินการผ่านบริษัทที่ลงทุน (Investees) นั่นก็คือ บรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งหากบริษัทที่ลงทุนไม่สนใจหรือไม่ขานรับเรื่อง ESG ไปดำเนินการ ผู้ลงทุนอาจจะมีมาตรการในระดับขั้นที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การลดน้ำหนักการลงทุน การลดการถือครอง ไปจนถึงการขายหลักทรัพย์ออกจากพอร์ตการลงทุน
นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้ลงทุนมีความโน้มเอียงที่จะใช้คำ ESG ในการสานสัมพันธ์กับบริษัท มากกว่าที่จะใช้คำ CSR เนื่องจากยูนิเวิร์สของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ CSR ในแง่ของการได้รับประโยชน์ คือ ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ขณะที่ยูนิเวิร์สของผู้ที่จะได้รับประโยชน์จาก ESG คือ กลุ่มผู้ลงทุนเป็นหลัก
ทีนี้ ในแง่ของการใช้ ESG เป็นเครื่องมือสำหรับการตัดสินใจลงทุน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ลงทุนย่อมต้องการผลตอบแทนที่น่าพอใจ ก็เลยกลายเป็นว่า การคำนึงถึงปัจจัย ESG แทนที่จะให้น้ำหนักกับผลกระทบจากการดำเนินงานของบริษัทที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (People และ Planet) ในลักษณะมุ่งไปภายนอก (Outwards) กลับกลายเป็นการคำนึงถึงปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อผลประกอบการของบริษัท (Profit) ในลักษณะมุ่งมาภายใน (Inwards) เพื่อที่จะกำกับดูแลให้บริษัทมีการส่งมอบผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับการลงทุนของตน
พัฒนาการในเรื่องนี้ ได้มาถึงจุดที่มีการต่อเติมเครื่องมือการวิเคราะห์สารัตถภาพ (Materiality Analysis) ซึ่งเป็นการค้นหาและระบุประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญที่บริษัทจำเป็นต้องดำเนินการ อันถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน จากเดิมที่ใช้เกณฑ์ผลกระทบที่เกิดจากองค์กรทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (แบบ Outwards) เพิ่มมาเป็นใช้เกณฑ์ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดกับองค์กร (แบบ Inwards) ร่วมด้วย เรียกว่าเป็น หลักการทวิสารัตถภาพ หรือ Double Materiality Principle โดยปรากฏอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเอกสารแนวทางการรายงานข้อมูลที่มิใช่ตัวเลขทางการเงิน: ส่วนเสริมของการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปเป็นผู้เสนอ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2019
ปัจจุบัน คณะที่ปรึกษาการรายงานข้อมูลทางการเงินแห่งยุโรป (EFRAG) เป็นผู้จัดทำร่างข้อกำหนดการรายงานข้อมูลความยั่งยืนของกิจการ (CSR Directive) รวมถึงหลักการทวิสารัตถภาพ แก่คณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเสนอต่อสภายุโรปให้บังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลในปี ค.ศ.2024 (สำหรับการรายงานในรอบบัญชีปี ค.ศ.2023)
ไม่เป็นที่สงสัยว่า ทุนได้เลือกข้างความยั่งยืน ไปเรียบร้อยแล้ว แต่จะเป็นความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือเป็นความยั่งยืนของกำไรและองค์กร คำตอบของคำถามนี้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ระบบทุนนิยมได้ถือกำเนิดขึ้น