คาดฟื้นต่อ แต่การปรับขึ้นในโซน 1,650-1.666 จุด ไม่ควรไล่ราคา

คาดฟื้นต่อ แต่การปรับขึ้นในโซน 1,650-1.666 จุด ไม่ควรไล่ราคา

ประธานาธิบดียูเครนส่งสัญญาณอาจไม่เข้าร่วม NATO ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของทางรัสเซีย แม้จะยังมีข้อเรียกร้องที่ยูเครนยอมรับได้ยากเกี่ยวกับการให้ยูเครนยอมรับสิทธิ์ในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยรัสเซีย

แต่นักลงทุนมองการเริ่มแสดงท่าที่เป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ (Neutrality) ของยูเครน จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่ทำให้การยุติสงคราม หรือหยุดยิงอาจมีความเป็นไปได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปหลายประเทศ (ซึ่งจะได้รับผลกระทบทางตรงมากที่สุดหากสงครามยืดเยื้อ และปรับลดลงมากที่สุดนับจากต้นปี) ฟื้นตัวแรงในระดับ 6-7%, ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว 2-3% ขณะที่ตลาดเอเชียเช้านี้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตลาดหุ้นปรับลดลงจากต้นปี 13-15% YTD ฟื้นตัว 2-3% สำหรับตลาดหุ้นอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยที่ติดลบ YTD น้อยกว่า เรามองมีโอกาสฟื้นตัวในระดับ 1-2% 

 

ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI ปรับลดลง 12% เนื่องจาก 1) ความคาดหวังจากการเจรจา 2) IEA ประกาศพร้อมระบายน้ำมันมากขึ้นเพื่อสกัดราคาน้ำมัน 3) อิหร่านและสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ใกล้บรรลุข้อตกลง ซึ่งจะยุติการถูกคว่ำบาตร 4) อิรักและสหรัฐฯ อาหรับอามิเรตส์ เริ่มเสนอให้โอเปคเพิ่มกำลังการผลิต // ด้วยภาวะอุปทานที่ยังตึงตัว เรามองน้ำมันจะยังทรงตัวในระดับสูงจนกว่าจะมีจุดเปลี่ยนอุปทานใหม่ที่เข้ามา สำหรับภาพระยะสั้น เราคาดจะเห็นตลาดกลับมาเก็งกำไรกลุ่มที่มีต้นทุนเป็นน้ำมันดิบหรือพลังงาน ซึ่งมีโอกาสถูก Window dressing ปลายเดือนมี.ค. แต่ไม่ควรเก็งถึงประกาศผลประกอบการ หุ้นกลุ่มนี้ได้แก่ SCC, PTTGC, BGRIM, GPSC, TASCO, AAV, EPG, SFT เป็นต้น
 

กลุ่มโรงกลั่นยังเด่นในบรรดาหุ้นพลังงาน มีแนวโน้วที่ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมัน (refinery product) จะเกิดการขาดแคลน เนื่องจาก 1) รัสเซียประสบปัญหาในการส่งออก 2) โรงกลั่นในยุโรปขาดแคลนน้ำมันดิบ ทำให้ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นลดลง 3) การเร่งสต็อคผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น 4) สื่อเริ่มรายงานมีความเป็นไปได้ที่ทางการจีน จะสั่งให้โรงกลั่น ระงับการส่งออกน้ำมันเบนซิน (Gasoline) และน้ำมันดีเซล ซึ่งสถานการณ์ข้างต้น จะเป็นปัจจัยบวกกับค่าการกลั่น (GRM) และด้วยค่าการกลั่นเฉลี่ยปีนี้ที่ระดับ 6-7 เหรียญ/บาร์เรล เทียบปีก่อนที่ 2 เหรียญ/บาร์เรล อีกทั้งกำไรจากสต็อคช่วงไตรมาส 1/65 ในระดับ 30 เหรียญฯ เราคาดกลุ่มโรงกลั่นอาจเคลื่อนไหวได้เมื่อเที่ยบกับหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีโดยรวม โดยมีหุ้นเด่นคือ TOP

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มพลังงาน PTTEP, BANPU, TOP (เน้นโรงกลั่น) 2) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 3) กลุ่มบันเทิง งบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 4) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ WFX, CV, UBE, RAM, IND, MAKRO, CPALL, JAS, BCP, AJ, PTL, PJW, III, TNP 5) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, TU, GFPT, KSL 6) ค่าระวางเรือ PSL, TTA 7) น้ำมันลง SCC, PTTGC, BGRIM, GPSC, TASCO, AAV, EPG, SFT

ภาพรวมกลยุทธ์: ระยะสั้นยังให้น้ำหนักของการฟื้นต่อ โดยมีแนวต้าน 1,650-1,666 จุด ไม่ควรไล่ราคาเพราะความขัดแย้งยังไม่ชัด และเป็นวันที่ 3 ตั้งแต่เราคาดตลาดจะฟื้นในวันอังคาร ติดตามความเสี่ยงบาทอ่อนค่าหลังราคาน้ำมันขึ้นสูง อาจทำให้ไทยมีโอกาสขาดดุลการค้า ซึ่งอาจกระทบ Fund flow ระยะสั้น //หุ้นแนะนำ: TIDLOR*, TOP*, PJW*, TTA*

แนวรับ: 1,635 / แนวต้าน : 1,650-1,666 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%
 

 

 

ประเด็นการลงทุน

เงินเฟ้อสหรัฐฯ – ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้ ตลาดคาด เงินเฟ้อ ก.พ. 7.9% เพิ่มจาก ม.ค.ที่ 7.6% 

PLANB – คาดเม็ดเงินสื่อปี 65 พุ่ง 1.2 แสนล้านบาท วางเป้ารายได้ปีนี้ยืนเหนือ 6-6.3 พันล้านบาท อัตราการใช้สื่อมีสิทธิกลับไปสู่ปกติที่ 70%

JWD – เตรียมชงบอร์ดแจกปันผลผู้ถือหุ้นหลังงบปี 64 ดีต่อเนื่อง คาดชัดเจน 15 มีนาคม พร้อมส่งสัญญาณผลประกอบการ 1/65 โตเด่น รับดีมานด์หนุนต่อเนื่อง 

COM7 – แจกหุ้นปันผล 1:1 ขึ้นเครื่องหมาย XD 11 มี.ค.นี้ ซึ่งด้วย กรสะรนื 50% อาจทำให้ราคาหุ้นลดลงแรง ดังนั้นผู้เก็งกำไรที่ไม่ต้องการรับปันผล ควรขายทำกำไรวันนี้

Opportunity day –10 มี.ค. SAWAD, DRT, NVD, SC, SGP, ILM, PM, TVD, SENA, CV, ICHI, CHO, PROEN, BC // 11 มี.ค. IVL, HL, HANA, PTG, TQM, JP, JKN, SUPER, TVO, LALIN, PDJ, BCH, HMPRO

 

ประเด็นติดตาม: 10 มี.ค. – US CPI เดือน ก.พ. / 15-16 มี.ค. – US FOMC Meeting

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)