SFT น่าจะฟื้นตัวในระยะต่อไป (4 มี.ค. 65)

SFT น่าจะฟื้นตัวในระยะต่อไป (4 มี.ค. 65)

หลังจากที่รายได้ของ SFT ในไตรมาสที่สี่ออกมาต่ำเกินคาดเพราะมีการเลื่อนคำสั่งซื้อออกไปจากการระบาดของ COVID-19 บริษัทพบว่ารายได้มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น

รวมถึงการเข้าสู่ช่วง high season ใน 2Q-3Q และมีการเตรียมกำลังการผลิตใหม่รอไว้แล้ว เราจึงคาดว่ายอดขายของ SFT จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ QoQ ในปีนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากยอดขายในปี 2564 ต่ำเกินคาด ในขณะที่บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายไว้ที่ปีละ 15% เราจึงปรับลดสมมติฐานยอดขายปี 2565-2566 ลง ~12% ซึ่ง
จะทำให้ประมาณการยอดขายปี 2565 โต 14% และปี 2566 โต 15%

 

อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้มากขึ้น

เนื่องจาก i) ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น (รวมถึง PVC และ PET เนื่องจากรัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซง และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น) ii) การส่งผ่านต้นทุนมี lag time พอสมควร และ iii) การประหยัดต่อขนาดลดลงเพราะยอดขายลดลงทำให้เกิดแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้น อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าโมเมนตั้มของอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นหลังจากที่ต้นทุนวัตถุดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ คำสั่งซื้อที่ฟื้นตัวขึ้นจะทำให้ SFT ถึงจุดที่เกิดการประหยัดต่อขนาดจากการผลิต เราปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565 เป็น 28.5%(จาก 30.7%) และปี 2566 เป็น 29% (จาก 30.8%)

 

 

 

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 ลง 25%

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 ลง 25% เพื่อสะท้อนถึงการปรับยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น โดยเราคาดว่ากำไรปกติของ SFT จะเพิ่มขึ้น 28% ในปี 2565 และ 18% ในปี 2566 ทั้งนี้ เนื่องจากเรามองว่าธุรกิจอาหารบรรจุสำเร็จมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลัง COVID-19 กำไรของ SFT จึงอาจจะโตได้ในระดับสองหลัก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าหุ้น SFT สมควรซื้อขายที่ระดับ premium

 

Valuation & action

เราปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ลงจาก 9.50 บาท เหลือ 7.00 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 25.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีตของหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก +1.0 S.D.) และคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

Risks

ราคาวัตถุดิบผันผวน, เกิด disruption ในสายการผลิต, วัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วเสียหาย, ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับฉลากพลาสติก, ความกังวลต่อสิ่งแวดล้อม, คู่แข่งรายใหม่, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน