ไทยใช้สิทธิเอฟทีเอ ปี 64 พุ่ง 31% มูลค่า 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 6 ปี

ไทยใช้สิทธิเอฟทีเอ ปี 64 พุ่ง 31% มูลค่า 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์  สูงสุดในรอบ 6 ปี

กรมการค้าต่างประเทศ เผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอ ปี 64 มูลค่า 76,312.79 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 31.40% มูลค่าการใช้สิทธิสูงสุดในรอบ 6 ปี ขยายตัวในทุกตลาด โดยตลาดอาเซียนครองอันดับ 1 ตามติดด้วยจีน สินค้ารถยนต์ ผลไม้สด อาหารแช่แข็ง ครองแชมป์ส่งออก

นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ (FTA) ในปี 2564 ตั้งแต่เดือนม.ค.– ธ.ค. มีมูลค่ารวม 76,312.79 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 31.40 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ สูงถึง 78.17 % โดยเป็นการใช้สิทธิฯเพิ่มขึ้นสูงในทุกตลาด ประกอบด้วยอาเซียน ขยายตัว 35.91 %  ออสเตรเลีย ขยายตัว 21.28 3 %   ชิลี ขยายตัว 72.66 %  จีน ขยายตัว 33.61 %   อินเดีย ขยายตัว 48.17 %  ญี่ปุ่น ขยายตัว 8.46 % เกาหลีใต้ ขยายตัว 38.30 %  นิวซีแลนด์  ขยายตัว 49.26 % และเปรู ขยายตัว 143.17 %

สินค้าสำคัญที่พบว่ามีมูลค่าการส่งออกสูง และมีการส่งออกเพิ่มขึ้นในหลายตลาดในปี 2564 อาทิ ยานยนต์ ขยายตัวในตลาดอาเซียน จีน ออสเตรเลีย ชิลี เปรู, ผลไม้สด ขยายตัวในตลาดอาเซียน จีน เกาหลีใต้ ,อาหารแช่แข็ง/อาหารปรุงแต่ง ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เปรู เกาหลี นิวซีแลนด์,  เครื่องเพชร พลอย และรูปพรรณ ขยายตัวในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ชิลี ,ตู้เย็นขยายตัวในเกาหลีใต้ อินเดีย อาเซียน ชิลี ,เครื่องปรับอากาศขยายตัวใน อาเซียน เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นต้น

ไทยใช้สิทธิเอฟทีเอ ปี 64 พุ่ง 31% มูลค่า 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์  สูงสุดในรอบ 6 ปี

โดยตลาดที่มีมูลค่าการใช้สิทธิเอฟทีเอ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. อาเซียน มูลค่า 26,280.12 ล้านดอลลาร์  มีตลาดส่งออกสำคัญคือ เวียดนาม มูลค่า 7,634.19 ล้านดอลลาร์  อินโดนีเซีย มูลค่า 5,829.69 ล้านดอลลาร์  มาเลเซีย มูลค่า 4,974.57 ล้านดอลลาร์ และฟิลิปปินส์  มูลค่า 4,530.28 ล้านดอลลาร์  สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน รถยนต์สำหรับขนส่งบุคคล น้ำมันปิโตรเลียม และน้ำมันจากแร่บิทูมินัส เครื่องปรับอากาศ ผลไม้สด ฝรั่ง มะม่วง มังคุดสด หรือแห้ง เป็นต้น 

2. จีน มีมูลค่า 25,327.26 ล้านดอลลาร์  สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ทุเรียนสด มันสำปะหลัง ฝรั่ง มะม่วง มังคุด รถยนต์และยานยนต์ขนส่งบุคคล ผลไม้สด เช่น ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ลางสาด มะพร้าวทั้งกะลา เป็นต้น

3. ออสเตรเลีย มูลค่า 8,474.04 ล้านดอลลาร์  สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ รถยนต์ขนส่งของน้ำหนัก รถรวมน้ำหนักบรรทุก ไม่เกิน 5 ตัน รถยนต์ขนส่งบุคคล เครื่องปรับอากาศติดผนัง และส่วนประกอบ เครื่องเพชร พลอย หรือรูปพรรณทำหรือชุบด้วยเงิน เป็นต้น

4. ญี่ปุ่น มูลค่า 7,045.02 ล้านดอลลาร์  สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ เนื้อไก่ และส่วนอื่นของไก่แช่เย็น กุ้งปรุงแต่ง ปลาปรุงแต่ง ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง เครื่องเพชร พลอย และรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า เป็นต้น

5. อินเดีย มูลค่า 4,899.95 ล้านดอลลาร์ สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิฯ อาทิ ลวดทองแดง โพลิ (ไวนิลคลอไรด์) โทลูอีน ตู้เย็น ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ อาหารสุนัขหรือแมว เป็นต้น

 

“ การใช้สิทธิฯ เอฟทีเอ ในปี 2564 ที่มีมูลค่า

การใช้สิทธิฯ ที่ 76,312.79 ล้านดอลลาร์ ถือว่ามีมูลค่าสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วง 6 ปีที่ผ่านมา โดยในภาพรวมช่วง 6 ปีย้อนหลัง (2558-2563) มีมูลค่าใช้สิทธิฯ ตามลำดับโดย ปี 2558 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 50,494 ล้านดอลลาร์  ปี 2559 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 52,413 ล้านดอลลาร์ ปี 2560 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 60,342 ล้านดอลลาร์ ปี 2561 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 69,602 ล้านดอลลาร์ ปี 2562 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 65,560 ล้านดอลลาร์ และปี 2563 มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 58,077 ล้านดอลลาร์”นายพิทักษ์ กล่าว

ขณะที่สัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ เอฟทีเอ กับมูลค่าการส่งออกของสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษในการลดภาษีภายใต้เอฟทีเอ   5 อันดับแรก มีดังนี้ อันดับ 1 ไทย-เปรู  100%  อันดับ 2 อาเซียน-จีน   95.66%   อันดับ 3 ไทย-ชิลี  93.24%   อันดับ 4 ไทย-ญี่ปุ่น  79.25%  และอันดับ 5 อาเซียน-เกาหลี  71.72%

ทั้งนี้ ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟที  จำนวน 11 ฉบับ ได้แก่ เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี (TCFTA) ความตกลงว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-เปรู (TPCEP)

ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย (TIFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) โดยไม่รวมถึงความตกลง RCEP ซึ่งเป็นความตกลงใหม่ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกงที่ภาษีนำเข้าเป็น 0 จึงไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ FTA เพื่อลดภาษี และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ไม่มีการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิ FTA แต่เป็นการรับรองตนเองของผู้ส่งออก (self-declaration)

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์