กลยุทธ์การลงทุน สรุปผลประกอบการ 4Q64: กำไรโตสองหลักทั้ง YoY และ QoQ

กลยุทธ์การลงทุน สรุปผลประกอบการ 4Q64: กำไรโตสองหลักทั้ง YoY และ QoQ

กำไรสุทธิรวมใน 4Q64 ของหุ้นที่ KGI ศึกษาอยู่เพิ่มขึ้น 45% YoY และ 38% QoQ ถือเป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่กำไรโตดี โดยกำไรรายไตรมาสออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ 9%

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากตัวเลขของหุ้นทั้งตลาด กำไรสุทธิรายไตรมาสเพิ่มขึ้น 44% YoY และ 33% QoQ ในขณะที่กำไรสุทธิปี 2564 ทะลุ 1.0 ล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก โดยโตถึง 66% จากปี 2563 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานกำไรที่ต่ำผิดปกติในช่วงที่มีการ lockdown เพื่อคุม COVID-19 ในขณะเดียวกัน 40% ของหุ้นที่ KGI
ศึกษาอยู่ มีผลประกอบการ 4Q64 ดีเกินคาด, 27% เป็นไปตามคาด และ 33% ต่ำกว่าที่เราคาดไว้

 

หุ้นท่องเที่ยว, โรงพยาบาล และ commerce กำไรดีเกินคาดใน 4Q64 ส่วนหุ้นสาธารณูปโภค และปิ โตรเคมีอ่อนแอ

ดังแสดงใน figure 3 ผลประกอบการ 4Q64 ของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว, โรงพยาบาล และ commerce ออกมาแข็งแกร่ง โดยเรามองว่าโมเมนตั้มกำไรของกลุ่มโรงพยาบาลอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ในขณะที่เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศปีนี้ โดยเรายังคงชอบหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และ commerce สำหรับกลุ่มที่ผลประกอบการอ่อนแอ กลุ่มสาธารณูปโภคถูกกดดันจากต้นทุนพลังงานที่แพงขึ้น ในขณะที่มูลค่าหุ้นยังถูกกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย ส่วนผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีก็ออกมาน่าผิดหวังเช่นกัน

 

 

 

gap ของประมาณการ EPS ปี 2565 ของ KGI และ consensus ถ่างกว้างขึ้นในช่วงนี้ และเราจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด

ประเด็นหนึ่งที่ทำให้เราเป็นห่วงในด้านปัจจัยพื้นฐานของตลาด คือ gap ที่กว้างขึ้นระหว่างประมาณการE PS ปีนี้ของเรากับ consensus EPS โดยในปัจจุบัน EPS ของหุ้นที่ KGI ศึกษาอยู่อยู่ที่ 101 สูงกว่า consensus EPS ปีนี้ ที่ 94 อยู่ 7.4% ซึ่งนักกลยุทธ์ส่วนใหญ่ทราบดีอยู่แล้วว่าการเปรียบเทียบประมาณการ EPS ของตลาดที่จัดทำโดยบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ไม่สามารถเทียบกันได้ตรง ๆ เพราะไส้ในของหุ้นที่แต่ละบริษัทศึกษานั้นแตกต่างกันไป ดังนั้น เราจึงยังไม่เห็นความเสี่ยงด้าน downside ต่อประมาณการ EPS ของตลาดปีนี้ของเรา เนื่องจากราคาน้ำมันกำลังขยับสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนกลุ่มพลังงานในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ

 

ยังคงมองแนวโน้มตลาดเป็นบวก โดยตั้งเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2565 ที่ 1,820

เราแนะนำให้นักลงทุนมองข้ามสองปัจจัยหลักที่ถ่วงตลาดอยู่ในระยะสั้นไปได้เลย ซึ่งได้แก่ วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน และ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของสหรัฐ ทั้งนี้ อย่างที่เราได้ระบุเอาไว้ในบทวิเคราะห์ฉบับก่อน ๆ ว่าตลาดการเงินตอบรับ scenario ที่เป็นลบกับตลาดจากสองเหตุการณ์นี้ไปเรียบร้อยแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่กลัวกันก็ได้ ทั้งนี้ จากการศึกษาของเราพบว่าน่าจะยังมีกระแสเงินทุนไหลเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะมูลค่าหุ้นในตลาด DM ค่อนข้างสูง ในขณะที่เศรษฐกิจของไทยและ ASEAN มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และยังได้แรงหนุนจากวัฏจักรรอบก่อน ๆ ที่ตลาดหุ้นมักจะขยับขึ้นได้ดีหลังจากที่ FOMC เริ่มขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ หุ้นเด่นที่เราเลือกยังคงเกาะอยู่ในธีมของการบริโภคในประเทศ และท่องเที่ยว ซึ่งได้แก่ BBL*, KBANK*, CPALL*, MAKRO, LH*, INTUCH*, AOT* และ PTT*