ย้อนรอย "หุ้นไทย" เด้งแรง หลังวิกฤตความขัดแย้งยุติ

ย้อนรอย "หุ้นไทย" เด้งแรง หลังวิกฤตความขัดแย้งยุติ

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนสร้างความหวั่นวิตกไปทั้งโลก หลังรัสเซียตัดสินใจเปิดฉากบุกโจมตียูเครนในทุกทิศทางตั้งแต่ช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) ตามเวลาประเทศไทย ถือเป็นการใช้กำลังทางทหารที่รุนแรงที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

โดยรัสเซียพุ่งเป้าโจมตีไปยังเขตพื้นที่กองทัพของยูเครน และใช้เวลาไม่นานก็สามารถทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศและเข้ายึดหลายพื้นที่ของยูเครนได้สำเร็จ

เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกดิ่งหนักทันที ตั้งแต่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์สั่งเริ่มปฏิบัติการทางทหารในยูเครน โดยอ้างเหตุผลเพื่อปกป้องกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออก

กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งคริปโทเคอร์เรนซี ถูกเทขายยกกระดาน หลังนักลงทุนหนีตายหันไปซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง ส่งผลให้ราคาทองพุ่งกระฉูด

แต่เพียงแค่ข้ามคืนหลังมีข่าวว่า ผู้นำยูเครนส่งสัญญาณจ่อยกธงขาว ต้องการเจรจาสันติภาพ เพื่อยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ต้องการให้ประเทศและประชาชนได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ 

ประกอบกับพันธมิตรชาติตะวันตกที่ประกาศจุดยืดชัดเจนไม่ส่งทหารเข้าไปช่วยยูเครน ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าสถานการณ์รุนแรงน่าจะยุติในไม่ช้า

ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ (25 ก.พ.) โดยเฉพาะในเอเชียที่รับข่าวเป็นภูมิภาคแรกมีแรงซื้อกลับทันที สวนทางราคาทองคำที่เริ่มถูกเทขายทำกำไร

ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหุ้น สะท้อนจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ขณะเดียวกันเมื่อความตึงเครียดหรือเหตุวุ่นวายเริ่มคลี่คลาย ตลาดมักจะเด้งกลับ ดังนั้นนักลงทุนต้องวางแผนการลงทุนในช่วงสถานการณ์แบบนี้ให้ดี

เช่น เกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ปรับตัวลดลง 1.25% กลุ่มพลังงานลดลง 1.05% แต่หลังจากนั้น 30 วันจากจุดต่ำสุด SET ฟื้นตัว 4.88%, ใน 60 วัน เพิ่มขึ้น 9.33% และในอีก 90 วันเพิ่มขึ้น 9.08%

ส่วนตอนที่รัสเซียผนวกรวมไครเมีย SET Index ดิ่งรวม 1.49% จากนั้นอีก 30 วัน SET รีบาวด์ 4.19%, 60 วัน เพิ่มขึ้น 8.21% และใน 90 วัน เพิ่มขึ้น 6.68% หากย้อนไปดูช่วงสงครามอิรัก SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.24% และในอีก 30 วัน บวก 2.77%, ใน 60 วัน พุ่งแรง 10.86% และ 90 วัน พุ่งกระฉูด 30.84%

ขณะที่เหตุวินาศกรรม 9/11 ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์จี้เครื่องบินพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กลางกรุงนิวยอร์ก และอาคารเพนตากอน กระทรวงกลาโหมของสหรัฐในรัฐเวอร์จิเนีย SET Index ทรุดหนัก 18.09% แต่หลังจากนั้น 30 วัน SET ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด 6.38%, 60 วัน เพิ่มขึ้น 1.82% และใน 90 วัน เพิ่มขึ้น 8.46%

ย้อนรอย \"หุ้นไทย\" เด้งแรง หลังวิกฤตความขัดแย้งยุติ

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ทีมกลยุทธ์ได้วิเคราะห์ผลกระทบของประเด็นความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในอดีตต่อตลาดหุ้นไทย ค่าเงินบาท พบว่านับตั้งแต่ปี 2533 ถึงปัจจุบันเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งหมด 7 ครั้ง โดย SET Index ใช้เวลาปรับฐานเฉลี่ย 26 วัน ราว -5.83%

โดยครั้งที่ตลาดปรับฐานแรง มักจะเกิดในตอนที่สหรัฐถูกจู่โจม -12.67% ถึง -18% ส่วนช่วงที่เกิดสงครามในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันกระทบตลาดเฉลี่ยราว -4% 

ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนในครั้งนี้ คาดตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวเชิงลบ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการยกระดับมาตรการของชาติพันธมิตร โดย SET น่าจะแกว่งในกรอบ 1,650-1,667 จุด (กรอบการปรับฐาน +/-4% ใกล้ค่าเฉลี่ยสงครามในกลุ่มผู้ผลิตน้ำามัน)

สิ่งที่นักลงทุนควรประเมิน คือ หลังตลาดตอบรับความเสี่ยงด้านสงครามแล้วเสร็จ ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวโดยให้ผลตอบแทน 1-3 เดือนหลังจากนั้น 8.12% ถึง 16.32% ถือเป็นผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ดังนั้นจังหวะที่ตลาดปรับฐานในกรอบข้างต้น เป็นจังหวะให้ทยอยสะสมหุ้น Domestic เพื่อระยะกลางถึงยาว รับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แนะนำ KBANK, SCB, CPALL, MAKRO, AP, SC, ADVANC, GPSC, BDMS, TIDLOR, BEM