ค้าน “พลังงาน” ลดส่วนผสม "เบนซิน" เหลืออี10 สูตรเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2565 ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาร์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้มีการหารือ เรื่องการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้เบนซิน โดยมีแนวคิดที่จะลดส่วนผสมเอทานอลจากอี85 และอี20 ลงเหลือเกรดเดียวคืออี 10 และการหาเงินสนับสนุนนโยบายราคาก๊าซหุงต้ม ที่มีนโยบายตรึงราคา 318 บาท/ถัง 15 กก.มานานประมาณ 2 ปี และจะสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2565 ซึ่งการประชุมดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน

นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์ นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยหาก รัฐบาลจะช่วยเหลือผู้ใช้กลุ่มเบนซิน ด้วยการลดส่วนผสมเอทานอลจากอี 85 และอี20 ลงเหลือเกรดเดียวคืออี 10 ซึ่งในขณะนี้มีกระแสข่าวว่า อาจจะลดชั่วคราวประมาณ 3 เดือน ทั้งนี้ ทางสมาคมฯ จะทำหนังสือคัดค้าน เพราะดูแล้วในภาพรวมสุดท้ายยังไม่มีความชัดเจนว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันขั้นสุดท้ายลดลงเท่าใด รัฐบาลต้องหาคำตอบที่ชัดเจน

“การลดส่วนผสมเช่นนี้ จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานของเอทานอลทั้งระบบเดือดร้อน ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงโรงงานเอทานอล ซึ่งมีประมาณ 27 โรงงาน และความต้องการใช้เอทานอลอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านลิตรต่อวัน  หากใช้เฉพาะอี 10 ก็จะทำให้ความต้องการใช้ลดลงถึง 30% ในส่วนนี้รัฐจะดำเนินการอย่างไร เพราะมีสต็อกล่วงหน้าเตรียมค้าขายไว้แล้ว หากรัฐบาลระบุเพียงว่าให้ส่งออก ก็คงไม่ง่ายอย่างที่คาดการณ์”

นอกจากนี้ หากปริมาณการใช้เบนซินลดลง ก็จะกระทบต่อเกษตรกรไปด้วย ซึ่งราคาเอทานอลของไทยที่อยู่ที่ประมาณ 25.60 บาทต่อลิตรขณะนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากสินค้าเกษตรกที่มีราคาสูง โดยราคามันเส้นอยู่ที่ประมาณ 7.50-7.70 บาทต่อกก. ส่วนกากน้ำตาลอยุ่ที่ 5.50 บาทต่อกก.

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้โทรมาสอบถามผลกระทบหากลดส่วนผสมกลุ่มเบนซินเหลืออี 10 เพียงเกรดเดียว ระบุว่าราคาเอทานอล ที่สหรัฐและบราซิลต่ำกว่านี้ จึงถามกลับไปว่า 2 ประเทศนั้นซื้อสินค้าเกษตรราคาสูงเหมือนไทยหรือไม่ โดยสหรัฐใช้ข้าวโพดจีเอ็มโอ บราซิลใช้น้ำอ้อย

ในขณะที่ประเทศไทยห้ามใช้น้ำอ้อย ให้ใช้กากน้ำตาล ภาพรวมแล้วก็อยากให้มองถึงผลกระทบต่อเกษตรกร เพราะรัฐอ้างว่าจะช่วยเหลือเกษตรกร และขอให้มองถึงนโยบายรวมๆ ไม่ใช่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ส่วนจะลดภาษีสรรพสามิตกลุ่มเบนซินหรือไม่ เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่รัฐจะพิจารณา