"สุภาพโอสถ" พึ่งพลัง ทีวีไดเร็ค ดันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโต 3 เท่า

การทำธุรกิจ “ครบวงจร” ไม่เพียงช่วยเพิ่มแต้มต่อให้ธุรกิจต่อกรกับคู่แข่งได้ดี แต่ยังช่วยใช้ประโยชน์จากการดำเนินงานหรือ Operation ได้มีประสิทธิภาพ เสริมแกร่งด้านบริหารจัดการต้นทุน

อดีตผู้ผลิตสินค้าไทย มีบทบาทหนึ่งคือสวมบทมือปืน “รับจ้างผลิต” หรือ OEM ให้กับเจ้าของแบรนด์สินค้าต่างๆยาวนาน แต่จุดอ่อนของการรับจ้างผลิตคือ “กำไรต่ำ” ทางออกจึงต้อง “สร้างแบรนด์สินค้า” เป็นของตัวเอง(Own Brand) ซึ่งไม่ง่าย

กว่า 40 ปี คือเส้นทางธุรกิจของ บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP และผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจผลิตยาสมุนไพร ยาแผนปัจจุบันมาถึงรุ่น 3 แล้ว ซึ่งนอกจากจะแปลงธุรกิจครอบครัวให้เป็น “มหาชน” ทายาทรุ่นใหม่ยังเดินหน้าสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วย

สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP เล่าถึงการสร้างแบรนด์สินค้าตัวเองในหมวดผลิตภัณฑ์​เสริมอย่างจริงจังช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ “สุภาพโอสถ” เป็นหัวหอกทำตลาด โดยเป้าหมายใหญ่ บริษัทต้องการผลักดันยอดขายแบรนด์ตัวเองมีสัดส่วน 50% บาลานซ์รับจ้างผลิตให้เห็นในปีนี้หรือปีหน้า จากปัจจุบันยอดขายจากแบรนด์ตัวเองยังน้อย 30% และรับจ้างผลิต 70%

เพื่อผลักดันให้ธุรกิจโตตามเป้าหมาย ยุคนี้ทยอยหาช่องทางค้าขายเองช้า จึงต้องพึ่งพลัง “พันธมิตร” เพื่อหาทางลัด หรือเติบโตก้าวกระโดด บริษัทจึงลงนามกับ “ทีวีไดเร็ค” เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “สุภาพโอสถ” 2 ชนิด ได้แก่ Black Sesame Oil + Rice Bran Oil และ วอล์ฟเฟีย ผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูสีพผ่านจอแก้วหรือ ทีวีโฮมชอปปิงของทีวีไดเร็คนั่นเอง

 

ปี 2565 บริษัทวางงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อทำการตลาด โดยแบ่ง 50 ล้านบาทไปยังทีวีไดเร็ค สำหรับลุยแคมเปญการตลาดต่างๆ กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

นอกจากบาลานซ์พอร์ตแบรนด์ตัวเองให้ยอดขายมากขึ้น เพื่อ “กำไร” ที่ดี บริษัทยังมองโอกาสผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญผลักดันยอดขายแบรนด์ตัวเองเติบโต 3 เท่าตัวด้วย เนื่องจากตลาดรวมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีมูลค่าขยับใกล้ “แสนล้านบาท” ยังมีการเติบโตได้ดี ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ระบาด ตลาดยังขยายตัว11% และปีนี้คาดการณ์โต 3.8%

“ปีนี้กำลังซื้ออาจลดลง แต่พฤติกรรมผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพื่อสุขภาพที่ดี ทานอะไรก็ได้ที่ห้ามป่วย ห้ามเป็นหวัด จากเมื่อก่อนทานแล้วต้องสวย ผิวดี”

ทั้งนี้ หากพิจารณาตลาดอาหารเสริม ยังเห็นผู้เล่นรายย่อยเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรดาคนดังบนโลกออนไลน์ หรืออินฟลูเอ็นเซอร์ เนื่องจากมีสาวกคอยติดตามสนับสนุน จึงเห็นแบรนด์ใหม่ออกมาทำตลาดคึกคัก ยิ่งกว่านั้นผู้เล่นหลักในตลาด ล้วนทำเงินจากตลาดดังกล่าวหลัก “ร้อย-พันล้าน” อย่างรวดเร็ว

ปี 2565 JP ยังตั้งเป้าหมายเติบโต ปัจจัยหลักมาจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปลดล็อก “การเงิน” ทำให้ระดมทุนและนำเงินที่ได้ไปลงทุนขยายกำลังการผลิตยาต่างๆภายใต้งบ 160 ล้านบาท เช่น โรงงานผลิตยาน้ำ ที่เต็มกำลังการผลิตมานาน และเพิ่มกำลังผลิต “ 2 เท่าตัว” ช่วงปลายปีนี้ เพิ่มกำลังผลิตยาสมุนไพร เป็นต้น

ทว่า “ขุมทอง” ใหญ่ที่บริษัทเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด คือ “กัญชา-กัญชง” หากทุกอย่างมีความชัดเจน พร้อมเดินหน้าผลิตสินค้าทันที จากที่ผ่านมาผนึกพันธมิตรอย่าง บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) จัดทัพธุรกิจรอตลาดเปิดแล้ว หากสามารถผลิตสินค้าให้พาร์ทเนอร์ บริษัทจะโตก้าวกระโดดยิ่งขึ้น

ทรงพล ชัญมาตรกิจ บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD กล่าวว่า ทีวีไดเร็คมีฐานลูกค้าเฉลี่ยเดือนละ 6 ล้านราย ส่วน JP ฐานลูกค้าหลักแสนราย ซึ่งบริษัทจะทำแคมเปญการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งเป็นแคมเปญทางทีวี 5 แคมเปญ ออนไลน์ 12 แคมเปญ รวมถึงการใช้คอลเซ็นเตอร์ติดตามลูกค้ากระตุ้นการตัดสินใจซื้อราว 2 ล้านราย โทร.หา 2-3 ครั้งต่อคน หรือราว 6 ล้านคอลภายใน 12 เดือน

เป้าหมายการทำตลาดครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สร้างแบรนด์ แต่ต้องการกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดการ “ซื้อซ้ำ” ซึ่งที่ผ่านมาพบฐานลูกค้าราว 40% กลับมาซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เทรนด์การเติบโตของสินค้าเพื่อสุขภาพมาแรงมากช่งง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพและซื้อสินค้าที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่การร่วมมือกับ JP  จะสร้างการเติบโตยอดขายเป็น win-win strategy  

ปัจจุบัน ทีวีไดเร็คถือเป็นผู้นำตลาดทีวี ชอปปิ้ง มีช่องทางการจำหน่ายผ่านทีวีช่องทีวีดิจิตอลและแซทเทิลไลท์  และยังมีช่องทางการจำหน่ายออนไลน์อย่างครอบคลุมโดยเฉพาะช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซ  เช่นแพลตฟอร์มติ๊กต๊อก(TikTok) ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ช่องทางwww.tvdirect.tvและ แอปพลิเคชั่นTVDทำให้TVDเข้าถึงลูกค้าทุกช่องทาง สามารถสร้างยอดขายได้ตลอด24ชั่วโมง

“เราต้องการเอ็นจอยยอดขายใน 15 เดือน”