ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้การลงทุนระยะสั้นผันผวน แต่ไม่ควรกังวลเกินไป

ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้การลงทุนระยะสั้นผันผวน แต่ไม่ควรกังวลเกินไป

ความกังวลสถานการณ์ในยูเครนอาจทำให้ภาพรวมการลงทุนระยะสั้นผันผวน ความตึงเครียดในยูเครนเพิ่มสูงขึ้นหลังทหารรัสเซียจำนวนมากกว่า 1.3 แสนนาย ประชิดชายแดน ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตก เตือนให้พลเมืองเดินทางออกจากยูเครนอย่างเร่งด่วน

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวปรับสูงขึ้นจากความกังวลผลกระทบต่ออุปทาน อย่างไรก็ตามราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมผันผวนระหว่างติดตามพัฒนาการของความขัดแย้ง โดยตลาดหุ้นในหลายภูมิภาคปรับลดลง ดัชนีความผันผวน (VIX) ปรับขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยปรับขึ้นเช่นกัน 

...แต่ไม่ควรกังวลมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อดูจากผลกระทบต่อตลาดหุ้นในอดีต เรามองว่าด้วยแสนยานุภาพของรัสเซีย การเข้ายึดครองยูเครนทำได้ไม่ยากและหากต้องการทำจริง น่าจะเป็นการเดินทัพแบบสายฟ้าแลบเข้าควบคุมจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ (เช่นครั้งที่แล้ว) ไม่ใช่การเคลื่อนกำลังทหารขนาดใหญ่ปัจจุบัน ดังนั้นเรายังให้น้ำหนักกับการมองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปเพื่อดำเนินการให้ยูเครนเข้าสู่การเจรจายอมยกเลิกแผนที่จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ แล้วอยู่ในสถานะรัฐกันชนมากกว่า การยึดยูเครนไม่ยาก แต่การจัดการกับการคว่าบาตรและผลกระทบของประเทศสหรัฐฯ และยุโรปที่จะเกิดตามมานั้นยาก และอาจก่อผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงมาก ซึ่งเรามองว่ารัสเซียน่าจะยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับผลดังกล่าว // ย้อนกลับไปดูผลกระทบ ต่อหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) การเคลื่อนทัพของรัสเซียเข้ายึดแหลมไครเมียของยูเครน ในช่วงปี ก.พ.-มี.ค.57 จะพบว่าดัชนี S&P ปรับขึ้นต่อเนื่องและไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ // ดังนั้นเรามองประเด็นดังกล่าวอาจสร้างความผันผวนระยะสั้น แต่มีโอกาสคลี่คลายผ่านการเจรจา ซึ่งจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงกลับมาฟื้นตัวในที่สุด อย่างไรก็ตาม น้ำมันดิบมีโอกาสปรับขึ้นได้ดีกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นในระยะสั้นจากความกังวลดังกล่าว

 

 

 

ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ 1) รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ 2) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) 3) ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 4) การให้ความเห็นของกรรมการเฟด ซึ่งอาจปรับลดโทนตึงตัวลง หลังส่งสัญญาณที่อาจจะแรงมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง การเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ บวกต่อ CK, STEC, ITD, UNIQ 2) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดเก็งกำไรการเข้าสู่ธุรกิจใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล และผลประกอบการปี 2564 ที่น่าจะเห็นการจ่ายปันผลในระดับที่ดี อย่างไรก็ตามยังมีความไม่ชัดเจนของภาพรายได้ปี 2565 อีกมาก การเก็งกำไรจึงควรกำหนจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง KGI, ASP, CGH, FSS 3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลุ่มที่มักจะเคลื่อนไหวได้ดีในภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้ง valuation ต่ำ และปันผลสูง ทำให้มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของ LH, SPALI, AP, SC, ASW 4) กลุ่มบันเทิง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวจากงบโฆษณาที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ บวกต่อ ONEE, BEC, WORK, MONO 5) หุ้นเก็งกำไรทางเทคนิค อาทิ SFT, WFX, CV, UBE, VPO, CPI, TOP, RAM, IND, MAKRO, CPALL, 

ภาพรวมกลยุทธ์: ผันผวนไม่หลุด 1,685 จุด ยังไม่เสียโมเมนตัมเชิงบวก  เน้นเก็งกำไรสลับรายกลุ่มโดยเลือกหุ้นที่ยังมีความน่าสนใจในเชิงของ valuation และมีทิศทางการเติบโตของกำไรเป็นบวก//หุ้นแนะนำ: TOP*, CPALL*, MAKRO*, ONEE*

แนวรับ: 1,685 / แนวต้าน : 1,708-1,720 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

 

 

 

ประเด็นการลงทุน

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี - ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 61.7 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 จากระดับ 67.2 ในเดือนม.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 67.5 รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

KSL - คาดปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 65 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.14 ล้านตันอ้อย และผลผลิตน้ำตาลที่ 6-7 แสนตัน ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นราว 20-30% จากปี 64 ที่มีปริมาณอ้อยเข้าหีบ 4.77 ล้านตันอ้อย คิดเป็นผลผลิตน้ำตาลประมาณ 5.28 แสนตัน สำหรับราคาน้ำตาลในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 19-20 เซนต์/ปอนด์ สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 17.28 เซนต์/ปอนด์

PIMO – หุ้นเพิ่มทุนเริ่มเข้าซื้อขาย 15 ก.พ.65 

GLOBAL – จ่ายปันผลเป็นหุ้นและเงินสด หุ้นปันผลที่ 23:1 (0.434782607 บาท/หุ้น) และจ่ายเป็นเงินสด 0.2548309179 บาท/หุ้น)

 

ประเด็นติดตาม: 14 ก.พ. – ECB President Lagarde Speaks  /15 ก.พ. – Thai GDP 4Q21, EU GDP 4Q21 / 16 ก.พ. – US Retail Sales เดือน ม.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)