แผนฟื้น“ผู้เลี้ยงหมู”รายย่อย คืนซัพพลายเข้าระบบครบปีนี้

สถานการณ์ราคาเนื้อหมูในตลาดแม้จะอ่อนตัวลงแล้วแต่ปัญหาโรคระบาดอหิวาต์อาฟริกา หรือ เอเอสเอฟ ยังมีอยู่เพื่อให้สถานการณ์การเลี้ยงหมูกลับมาเป็นปกติ มีการถ่วงอำนาจการตลาดจากเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อย แผนการฟื้นฟูการเลี้ยงหมูรอบใหม่จึงเกิดขึ้น
เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้รวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ต่างๆของแหล่งที่เกิดเอเอสเอฟ มาประกอบการวางแผนฟื้นฟูอาชีพการเลี้ยงสุกรรายย่อยของไทยโดยเปิดให้ทุกภาคส่วนส่งข้อมูลมายังกรมปศุสัตว์ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรคอหิวาต์อาฟริกา (เอเอสเอฟ) ในเร็วๆนี้ และเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาเพื่อกำหนดแผนดำเนินการต่อไป
สำหรับผลการสำรวจหาย เกษตรกรรายย่อยหยุดเลี้ยงไปประมาณ 10-12% ซึ่งยังมีปริมาณหมูอยู่ในระบบกว่า 90% ดังนั้น จำนวนปริมาณที่ลดลงไป รัฐบาลพยายามดูแลราคาหมูตามกลไกตลาด โดยพบว่าราคาเฉลี่ยปรับลดลงอยู่ที่ 180 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) โดยปีนี้คาดว่าจะสามารถกลับมาผลิตได้ 20 ล้านตัน ซึ่งในรอบของการเลี้ยง แม่พันธุ์หมู 1 ตัว ภายใน 1 ปี จะได้ ประมาณ 2-5 รอบ
“ การบริหารจัดการที่จะไม่ทำให้เนื้อหมูราคาสูงเกินไปยอมรับว่าต้องใช้เวลาในการที่จะให้แม่พันธุ์หมู จากปัจจุบันมีจำนวนพ่อพันธุ์เสียหายไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นกรมปศุสัตว์ได้เตรียมพร้อมในการที่จะผสมเทียม ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่าและแม่นยำมากกว่า มั่นใจได้เลยว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ และใช้เวลา 1-2 รอบในการผลิตสุกรก็จะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ”
สำหรับแนวทางการนำเข้าหมูนั้น จะมีการพิจารณาตามความเหมาะสม และความจำเป็น บนสมมติฐานหากเกินกว่า 200 บาท/กก. อีก แต่หากสถานการณ์ยังอยู่ในสถานการณ์ปกติ ด้ายราคาปัจจุบันเฉลี่ยที่ 180 บาทต่อกก. และเป็นราคาที่ประชาชนรับได้ กรมปศุสัตว์ก็จะพิจารณาอาจจะไม่ต้องนำเข้าดังนั้น อยากจะขอความร่วมมือโบรคเกอร์ พ่อค้าแม่ค้า ร่วมมือกันเพื่อให้ราคากลับสู่สภาวะปกติให้เร็วขึ้น
สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า เนื่องจากโรค เอเอสเอฟ ยังไม่มีวัคซีป้องกัน และเป็นเชื้อที่ฝังตัวในพื้นที่ได้นานมาก การเลี้ยงสุกรใหม่ในพื้นที่ที่เคยมีโรคระบาดนั้น ต้องอยู่ภายใต้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ อย่างรัดกุม โดยเฉพาะการควบคุมพาหะนำโรค ทั้งคนเลี้ยง นก หนู แมลง ต่างๆ ต้องไม่ให้ปนเปื้อน ซึ่งป้จจุบันผู้เลี้ยงสุกรในภาคเหนือได้เริ่มบ้างแล้ว
“กลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อยสามารถดำเนินการได้ และใช้งบประมาณไม่มาก แต่ต้องเข้มงวดการเข้าออกของผู้เลี้ยง การทำความสะอาด อย่างรัดกุม”
อย่างไรก็ตามเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรค ก่อนการเข้าเลี้ยงสุกรรอบใหม่ กรมปศุสัตว์จะใช้ระบบ Sentinel คือใช้สุกรมาเป็นตัวล่อ เพื่อทดสอบว่ามีเชื้อหรือไม่ ถ้ามีเชื้อจะป่วย แสดงอาการ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ยังไม่ปลอดภัย ยังไม่พร้อมเลี้ยงสุกร รอบใหม่
แหล่งข่าวจากกรมปศุสัตว์ ระบุว่า Sentinel เป็นที่ยอมรับในองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศหรือ โอเออี ซึ่งกรมปศุสัตว์เคยใช้มาแล้ว ในกรณีที่เกิดโรคกาฬโรคในม้า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในกรณีของสุกร อยู่ระหว่างการหารือว่าจะใช้วิธีการเดียวกันได้หรือไม่
สินธุ ปัญญาศักดิ์ สมาชิกสหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกรเชียงใหม่-ลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน กล่าวว่า ขณะนี้เกษตรกรรายย่อยหลายพื้นที่ เช่นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน มีความพร้อมมากในการเลี้ยงหมูรอบใหม่ แต่ผู้เลี้ยงอยากเห็นมาตรการส่งเสริมที่สร้างขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ทั้งปัจจัยการผลิต ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ รวมถึงปล่อยราคาให้เป็นไปตามกลไกการตลาด เพื่อสร้างเสถียรภาพในอุตสาหกรรมหมูอย่างยั่งยืน







