บิ๊กอสังหาแห่ลงทุนต่างจังหวัดขยายฐานลูกค้า‘ไฮบริดเวิร์กเพลส’

บิ๊กอสังหาแห่ลงทุนต่างจังหวัดขยายฐานลูกค้า‘ไฮบริดเวิร์กเพลส’

ดีกรีการแข่งขันปี 2565 ส่อเค้าความรุนแรงตั้งแต่ต้นปีเมื่อ บิ๊กเนมอสังหาฯ แห่ลงทุนต่างจังหวัดที่มองว่าเป็นขุมทรัพย์กำลังซื้อใหม่ โดยเฉพาะโครงการแนวราบเพื่อขยายฐานลูกค้า-สร้างรายได้ ที่สำคัญรองรับเทรนด์ทำงานยุคโพสต์โควิด การทำงานแบบ“ไฮบริดเวิร์กเพลส”

ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มองว่าภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อค่อยๆ ฟื้นตัวจากลุ่มเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้ต้องปรับตัวด้วยการรุกตลาดภูมิภาคมากขึ้น ตามทำเลแหล่งงาน, สถานศึกษา, สนามบิน และศูนย์การค้า ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ หลังจากโควิดระบาด เนื่องจากเริ่มมีคนส่วนหนึ่งย้ายไปทำงานและอยู่จังหวัดมากขึ้น ส่งผลให้ดีมานด์และซัพพลายเพิ่มขึ้น เพราะคนต้องการบ้านขนาดใหญ่ที่เป็นได้ทั้งที่พักอาศัยและที่ทำงานในรูปแบบบ้านพักตากอากาศ

โดยปีนี้วางแผนเปิดตัว 34 โครงการ มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ต่างจังหวัด 18 โครงการ, กรุงเทพฯ -ปริมณฑล 13 โครงการ, คอนโดฯ กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 3 โครงการ รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 159 โปรเจค ใน  24 จังหวัด โดยมี 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์

ประทีป ระบุว่า อสังหาฯ ต่างจังหวัดถือเป็นเรื่อง “ปราบเซียน” โดยก่อนหน้านี้มีหลายบริษัทใหญ่ลงทุนแล้วแต่ขายไม่ออก เปิดขายแล้วยอดไม่ถึงก็ต้องคืนเงินลูกค้าแล้วปิดโครงการ แต่ศุภาลัยได้เปรียบในแง่ชื่อเสียงและมีประสบการณ์ จึงพร้อมเปิดตัวโครงการที่ แม่ริม เชียงใหม่, เชียงราย, อุดรธานี และ ภูเก็ต ราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป

และเตรียมโครงการแนวราบ 4-6 ล้านบาท ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการบ้านในเซ็กเมนต์ทำเลใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์ เพราะมองเห็น “โอกาส” ขยายฐานลูกค้า หลังจากคนกลุ่มหนึ่งย้ายกลับไปทำงานต่างจังหวัด และบางแห่งเป็นแหล่งงานสำคัญในโซนอีอีซี อาทิ ฉะเชิงเทรา จากปีที่ผ่านประสบความสำเร็จในการทำตลาดในชลบุรี ระยอง
 

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้มีแผนเปิด 15 โครงการ มูลค่า 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 12 โครงการ ต่างจังหวัด 3 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 11 โครงการ บ้านแฝด 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ 

โดยไตรมาสแรกจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว มูลค่า 2,900 ล้านบาท มอเตอร์เวย์ โคราช ไตรมาส 2  โครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮ้าส์ อยุธยา มูลค่า 1,430 ล้านบาท ไตรมาส 3  โครงการบ้านเดี่ยว มูลค่า 640 ล้านบาท ที่อยุธยาเช่นกัน

วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ปีนี้มีแผนขยายสินค้าแนวราบไปทำเลปริมณฑล อย่างสมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี 

โดยปีนี้มีแผนเปิดตัวรวม 65 โครงการ มูลค่ากว่า 78,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 26 โครงการ 35,600 ล้านบาท คอนโด 5 โครงการ 13,000 ล้านบาท เป็นโครงการต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท โดยมี 3 จังหวัดใหม่คือ อุดรธานี อุบลราชธานี และฉะเชิงเทรา จากเดิมที่ลงทุนใน อยุธยา เชียงราย ระยอง และนครศรีธรรมราช ส่งผลให้ทั้งปีมีโครงการพร้อมขายทั่วประเทศ 182 โครงการ กว่า 149,000 ล้านบาท
 

กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า ศรีราชา เป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมซึ่งเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น บริษัทจึงพัฒนาโครงการคอนโด "แอทโมซ ศรีราชา” โครงการโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น 3 อาคาร 539 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท 

“โครงการอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา และยังใกล้สนามบินอู่ตะเภา และในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รวมถึงยังใกล้กับแหล่งงานและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง, บริษัทเอกชนต่าง ๆ, สถานศึกษา, ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาล”

ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกปีนี้ เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าลงทุน โดยให้ความสำคัญกับต่างจังหวัดต่อเนื่องใน ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต ก่อนหน้านี้ 

“ ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ได้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่ออยู่เอง หรือซื้อเพื่อลงทุน จากโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง แม้จะเป็นช่วงเวลาของการระบาดโควิด-19 ก็ตาม"

นอกจากดีมานด์ของคนในพื้นที่แล้ว โครงการในจังหวัดท่องเที่ยวก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติเช่นกัน ที่สำคัญรองรับเทรนด์ทำงานยุคหลังโควิดเน้นทำงานแบบ“ไฮบริดเวิร์กเพลซมากขึ้น