BH จะได้อานิสงส์บวกจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ

BH จะได้อานิสงส์บวกจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ

เมื่อวันที่ 25 มกราคม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้เข้าพบเจ้าฟ้าชาย Mohammed bin Salman มกุฎราชกุมาร ของประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในอนาคตอันใกล้

โดยหนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานว่า ตามข้อตกลงทั้งสองประเทศจะสถาปนาเอกอัครราชทูตในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ สัมพันธภาพระหว่างประเทศไทยกับซาอุดิอาระเบีย เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่เกิดคดีโจรกรรมเพชรจากซาอุเมื่อปี 2532 โดยซาอุดิอาระเบียได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยจากกรณี “เพชร Blue Diamond” ทั้งนี้ จากถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เจ้าหน้าที่ของไทยพยายามจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากกว่าสามทศวรรษที่ถูกตัดสัมพันธ์ทางการทูต ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศ
และรายได้จากการท่องเที่ยวสูญเสียไปหลายพันล้านดอลลาร์ฯ รวมถึงประเด็นการจ้างแรงงานไทยด้วย

 

มองบวกกับ BH

เราคิดว่าความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีขึ้นระหว่างประเทศไทยและซาอุดิอาระเบีย จะส่งผลดีต่อกิจการโรงพยาบาลของไทยที่ให้บริการผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ซึ่งตามธีมนี้ BH จะเป็นบริษัทที่ได้อานิสงส์เต็มที่จากการที่จะมีผู้ป่วยจากซาอุดิอาระเบียมาใช้บริการเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่คิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่ถึง1% ของรายได้รวมโดยมีสัดส่วนประมาณ 3% ก่อนการระบาดของ COVID-19) นอกจากนี้ platform ธุรกิจของ BH ยังสามารถให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยจากตะวันออกกลางมานานถึงกว่า 20 ปี รวมถึงซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางด้วย (จัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก) โดยมีจำนวนประชากรรวมประมาณ 34 ล้านคน ทั้งนี้ จากข้อมูลของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพียง 36,000 คนเท่านั้น(เพียง 5% ของนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่ 700,000 คน) ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี 2562 ทั้งนี้ ในช่วงปี 2530-31 จำนวนนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเฉลี่ยอยู่ที่ 73,000 คน และมีการคาดหมายว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 150,000 คนหลังจากการกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอีกครั้ง ดังนั้น เราจึงคาดว่า BH จะได้อานิสงส์จากประเด็นนี้ เนื่องจากเป็นธุรกิจโรงพยาบาลระดับแนวหน้าของไทยที่ให้บริการผู้ป่วยต่างชาติ

 

 

แนวโน้มยังคงแข็งแกร่งในปี 2565F

เรายังคงคาดว่าผลการดำเนินงานของ BH จะพลิกฟื้นโดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.88 พันล้านบาท (+135.1% YoY) ในปี 2565F เนื่องจาก i) ฐานกำไรต่ำผิดปกติในปี 2563-64 ii) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวขึ้น และ iii) คุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Valuation & Action

จากแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะยาว เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำ BH จาก ขาย เป็น ถือ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565 ใหม่ที่ 48 บาท (ใช้ WACC ที่ 8.2% และ TG ที่ 2%) จากเดิม 130 บาท (เดิมใช้ TG ที่ 1%)

 

Risks

COVID-19 ระบาด, การแทรกแซงของรัฐบาล และ เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่