‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ’อ่อนค่า’ ที่ 33.30 บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด ’อ่อนค่า’ ที่ 33.30 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทมีแนวโน้มผันผวน ยังอ่อนค่าลงได้หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องแต่เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไป มาจากบรรยากาศการลงทุนยังไม่สดใส และตลาดหุ้นไทยยังมีกลุ่มหุ้นพลังงานหนุนมองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ 33.20 - 33.40 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (28 ม.ค.)  ที่ระดับ  33.30 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลง จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.20 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เราคงมองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนและอาจอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ sentiment การลงทุนในตลาดไม่สดใส อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้บ้าง แต่เราก็มองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม Cyclical ทั้งกลุ่มพลังงาน และการเงินที่มาก ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคฯ มีไม่เยอะ ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับอานิสงส์จากธีมการลงทุนหุ้น Cyclical ต่อได้ ทั้งนี้ แนวต้านของเงินบาทอาจอยู่ในโซน 33.30 - 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นฝั่งผู้ส่งออกต่างทยอยขายเงินดอลลาร์มากขึ้น

ตลาดการเงินโดยรวม โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงผันผวนและเผชิญแรงเทขายจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้มากกว่า คาดส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงกว่า -1.40% ส่วนดัชนี S&P500 ย่อตัวลง -0.54% ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้เล่นในตลาดฝั่งสหรัฐ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง โดยเรามองว่า ตลาดฝั่งสหรัฐอาจต้องรอให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนประกาศออกมาพอสมควร เช่น เกิน 70% ก่อน ซึ่งถ้าหากผลประกอบการออกมาเติบโตต่อเนื่องและดีกว่าคาด ก็อาจช่วยพยุง sentiment ของตลาดให้ทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้เช่นกัน

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นต่อราว +0.49% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงินและพลังงาน อาทิ Eni +2.4%, Santander +2.1% ในขณะที่ หุ้นเทคฯ ยุโรปพลิกกลับมาปรับตัวลงหนัก ตามหุ้นเทคฯ สหรัฐนำโดย SAP -6.0%, ASML -1.3% ในระยะสั้นนี้ นักลงทุนควรระมัดระวัง ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจบานปลายสู่สงคราม อาจยังคงกดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปผันผวนต่อได้ อย่างไรก็ดีเรามองว่า หากตลาดหุ้นยุโรปมีการปรับฐานลงมาต่อ ก็จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนทยอยเข้าสะสมการลงทุนในยุโรปเพื่อรอลุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังการระบาดโอมิครอนมีสัญญาณว่าจะเริ่มสงบลงได้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยแนวโน้มเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากกว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงและผันผวนหนัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 97.25 จุด ซึ่งเป็นการแข็งค่าหนักที่สุดตั้งแต่ช่วงกลางปี 2020 ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์นั้นได้กดดันให้ สกุลเงินหลักต่างปรับตัวลดลงใกล้กับจุดต่ำสุดในช่วงตลาดกังวลการระบาดของโอมิครอนอีกครั้ง อาทิ เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าแตะระดับ1.114 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็อ่อนค่าลงแตะระดับ 115.4 เยนต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมากกว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น (โดยปกติ ส่วนต่างยีลด์สหรัฐ - ญี่ปุ่นกว้างมากขึ้น จะกดดันให้เงินเยนอ่อนค่าลง) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ได้กดดันให้ราคาทองคำเผชิญแรงขายหนักและปรับตัวลงแตะระดับ 1,796 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือใกล้แนวรับสำคัญในโซน 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง 

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ในฝั่งสหรัฐ โดยคาดว่า เงินเฟ้อทั่วไป PCE ของสหรัฐ ในเดือนธันวาคม มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 5.8% ซึ่งปัญหาเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด ทำให้เฟดเริ่มส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนก็อาจเริ่มมีผลต่อตลาดการเงินมากขึ้น หลังจากที่ตลาดได้รับรู้ผลการประชุมเฟดล่าสุดไปแล้ว โดยหากผลประกอบการสามารถขยายตัวดีขึ้นกว่าคาด ก็อาจพอช่วยพยุง sentiment ของตลาดได้บ้าง แต่โดยรวมตลาดอาจยังคงผันผวนเนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

 

พิสูจน์อักษร  โดย....สุรีย์   ศิลาวงษ์