‘บลน.ฐานแคปฯ’ลุยขายหน่วยลงทุน ชูจุดแข็งผลิตภัณฑ์หลากหลาย

‘บลน.ฐานแคปฯ’ลุยขายหน่วยลงทุน  ชูจุดแข็งผลิตภัณฑ์หลากหลาย

ก.ล.ต.ไฟเขียว“บลน.ฐานแคปฯ”ประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ชูจุดแข็งกองทุนรวมให้เลือกหลากหลาย มีช่องทางกระจายผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อในเครือเนชั่นครบวงจร ทั้ง"ออนไลน์-ออฟไลน์"ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร

น.ส.ศิริพรรณ ชินวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฐานเศรษฐกิจ แคปพิตอล จำกัด (บลน.ฐานแคปฯ) เปิดเผยว่า บริษัทได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงวันที่ 20 มกราคม 2565 แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้อนุญาตให้บริษัทเริ่มประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หน่วยลงทุนได้ นับตั้งแต่ได้รับการอนุมัติ 

บลน.ฐานแคปฯ ทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด ซึ่งมีบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอ เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2564 เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจการเป็นนายหน้า ตัวแทน ตัวแทนค้าต่างประเทศ ในกิจการและธุรกิจทุกประเภท รวมถึงธุรกิจประกันภัย และการหาสมาชิกให้สมาคมและการค้าหลักทรัพย์

“เราจะมุ่งเน้นการสร้างนักลงทุน ผ่านการให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตจริง และเพื่อเสริมสร้างการเงินส่วนบุคคล ผ่านการนำเสนอข้อมูลด้านการลงทุนผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์ มีรูปแบบทันสมัยและแปลกใหม่ ผ่านการทำงานร่วมกันของสื่อพันธมิตรในเครือ นำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่มีประสิทธิภาพ ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ” 

น.ส.ศิริพรรณ กล่าวว่า จุดแข็งของบลน.ฐานแคปฯ คือมีผลิตภัณฑ์กองทุนให้เลือกลงทุนที่หลากหลายประเภท และหลากหลาย บลจ. ที่บริษัทสามารถเลือกที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับ บลจ.ต่างๆเพื่อร่วมเป็นพันธมิตร 

บลน.ฐานแคปฯ ยังมีช่องทางการประชาสัมพันธ์ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากรผ่านทางสื่อฐานเศรษฐกิจ และสื่อในกลุ่มเนชั่นที่เป็นพันธมิตร เช่น กรุงเทพธุรกิจ เนชั่น คมชัดลึก สปริงนิวส์ และ ไทยนิวส์ มีการจัดทำแพลตฟอร์มออนโลน์ในการให้ข้อมูลการลงทุนผ่านเพจหลัก The Cap เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารลงทุน เสนอขายกองทุน การวิเคราะห์ภาพรวมตลาดจากเจ้าหน้าที่และพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจกองทุน นักวิเคราะห์ทางเทคนิค และเทคโนโลยีสารสนเทศ

ทั้งนี้มอร์นิ่งสตาร์ไทยแลนด์ รายงานภาพรวมกองทุนรวมไทยในปี 2564 พบว่า มูลค่ากองทุนประเภทต่างๆ ทั้งกองทุนเปิด กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ETF และกองรีท มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 5.4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นปี 2563 โดยกองทุนรวมตราสารทุน เป็นประเภทที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงสุด 1.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 38% ของอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ปี 2564 มีเงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมมูลค่า 2 แสนล้านบาท โดยมีเงินไหลเข้าจากกองทุนตราสารทุนต่างประเทศเป็นหลัก เช่น Global Equity และ China Equity ขณะที่กองทุนหุ้นไทย Equity Large-Cap มีเงินไหลออกต่อเนื่องตลอดทั้งปี ขณะที่เม็ดเงินไหลออกมาจากกองทุนตราสารตลาดเงิน ซึ่งมีเงินไหลออกสุทธิระดับแสนล้านบาท

ส่วนกองทุน RMF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 20% จากปี 2563 โดยในไตรมาสสุดท้ายยังคงเป็นช่วงที่มีการซื้อกองทุนอย่างคึกคักเหมือนเช่นเคย กองทุน RMF ที่ลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศเป็นส่วนสำคัญของเงินไหลเข้าในปีนี้ เช่น กลุ่มกองทุนหุ้นทั่วโลก (Global Equity) และกองทุนหุ้นจีน (China Equity) ขณะที่กองทุน RMF หุ้นไทยรวมเป็นเงินไหลออกสุทธิ

มอร์นิ่งสตาร์รายงานง่า กองทุนยั่งยืนในประเทศไทยยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 6.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากปี 2563 ซึ่งมีส่วนมาจากการลงทุนต่างประเทศที่กำลังเติบโตและเป็นส่วนแบ่งหลักของตลาดกองทุนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น พลังงานหมุนเวียน การบริหารจัดการน้ำ ได้รับความสนใจจากศักยภาพการเติบโตในอนาคต

การเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ต่างมองหาช่องทางการขายต่างๆมาเสริมทัพ โดยเฉพาะบลจ.ที่ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ซึ่งมีหน้าที่ชัดเจนในการขายกองทุนจึงเป็นอีกหนึ่งเลือกที่น่าสนใจ