กัลฟ์ ผนึก ไบแนนซ์ เปิดศึกท้าชิงเบอร์1คริปโทฯในไทย

กัลฟ์ ผนึก ไบแนนซ์ เปิดศึกท้าชิงเบอร์1คริปโทฯในไทย

“วงการคริปโทเคอร์เรนซี่” เดือด “กัลฟ์” คาดใช้ระยะเวลาศึกษาดีลกับ “ไบแนนซ์” 3-6 เดือน หากแผนชัดเจน พร้อมเริ่มขอใบอนุญาตตามกระบวนการทันที แข่งเอสซีบี-บิทคับ “สตางค์” ลุยหาพันธมิตร “จิรายุส” ซีอีโอบิทคับจับตาคู่แข่ง “อัพบิต” เล็งปรับกลยุทธ์สู้ “ซิปเม็กซ์” เชื่อแข่งได้

สะเทือนวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยจาก บิ๊กคอร์ป บมจ.กัลฟ์เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ส่ง กัลฟ์ อินโนวา ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุ่มไบแนนซ์ (Binance) ซึ่งดำเนินธุรกิจ Digital Asset Exchange ที่มีปริมาณการซื้อขายอันดับ1 ในโลก เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในไทย ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดซื้อขายคริปโทฯ ในประเทศไทยจะดุเดือดอย่างแน่นอน 

กัลฟ์ คาดใช้เวลา 3-6 เดือน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า สำหรับความร่วมมือกับไบแนนซ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Digital Asset Exchange และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในประเทศไทย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการศึกษา 3-6 เดือน หากมีความชัดเจนแผนการทำธุรกิจดังกล่าวแล้วน่าจะเริ่มขอใบอนุญาตตามกระบวนการได้

แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับแนวทางการกำกับในไทยและความชัดเจนเรื่องภาษีด้วยว่า จะสนับสนุนเป้าหมายที่เราต้องการเข้ามาผลักดันให้อุตสาหกรรมคริปโทเคอเรนซีในไทยเติบโตผ่านความแข็งแกร่งของเราทั้งสองบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน

"เราเล็งเห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศไทย จากการที่เศรษฐกิจ ถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และจะมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชนมากขึ้น โดยความร่วมมือกับ ไบแนนซ์ดังกล่าว จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อคเชนของประเทศ จากการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความพร้อมในการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมาตอบสนองความต้องการดังกล่าว”

กัลฟ์ ผนึก ไบแนนซ์ เปิดศึกท้าชิงเบอร์1คริปโทฯในไทย

 

ตลาดคริปโทแข่งเดือด

นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อยักษ์ใหญ่ระหว่าง กัลฟ์ ที่จับมือกับไบแนนซ์  และ เอสซีบีเอกซ์ จับมือกับ บิทคับ เปิดหน้าสู้กันในตลาดเทรดคริปโทฯ ในไทย โดยทั้งสองยักษ์ใหญ่ มีจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบกันคนละด้าน 

สำหรับ กัลฟ์ มีฐานลูกค้าของกลุ่ม เอไอเอส มากกว่า 40 ล้านคนทั่วประเทศ มากกว่า เอสซีบีเอกซ์ แต่ เอสซีบีเอกซ์ นับมีความได้เปรียบในความสามารถการดำเนินธุรกิจไฟแนนซ์  

ขณะเดียวกัน มองว่า การเข้ามาทำธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ระหว่าง กัลฟ์กับไบแนนซ์ ยังต้องติดตามว่าจะออกมาเป็นรูปแบบใด เพราะดีลนี้ยังเป็นเพียงความร่วมมือกันศึกษา และที่ผ่านมา ไบแนนซ์ ยังไม่เคยเป็น Exclusive Partner กับใคร หากไม่มีความจำเป็นเชื่อว่าไบแนนซ์ จะไม่เป็น  Exclusive Partner กับรายใดแน่นอน  เช่นเดียวกับที่ไบแนนซ์ ได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัท สตางค์ สัดส่วน 3% ในปัจจุบันก็ไม่ได้เป็น Exclusive Partner กัน  และผลิตภัณฑ์ของไบแนนซ์ที่มีอยู่ เช่น สินเชื่อหรือการเทรดฟิวเจอร์ ยังไม่ได้ถูกกับตามกฎหมายของไทย 

ดังนั้น มองว่า  มีโอกาสที่ใครก็ได้จะเข้าไปเจรจาเป็นพันธมิตรกับไบแนนซ์  โดยใช้โมเดลของ กัลฟ์ เป็นมาตรฐานในการเข้ามาทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย โดยที่ไม่ต้องเสียเงินลงทุนมูลค่าสูง เหมือนกับเอสซีบีเอกซ์ หรือการที่บล.ไทยพาณิชย์ ที่มีใบอนุญาตทำธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ก็อาจหาพันธมิตรในต่างประเทศเข้ามาขยายธุรกิจในและนอกประเทศไทยก็ได้  อีกทั้งก็ต้องรอความชัดเจนความร่วมมือกับทางบิทคับ จะปรับกลยุทธ์อย่างไร   

สตางค์ หาพันธมิตรเสริมแกร่ง

ในส่วนของบริษัท สตางค์ เดินหน้าหาพันธมิตรรายใหม่ทั้งนอนแบงก์และแบงก์ ที่มาช่วยขยายฐานลูกค้าในไทยที่ยังมีโอกาสอีกมาก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับหลายราย  ในขณะที่เรายังสามารถใช้เทคโนโลยีจากไบแนนซ์ได้ ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียเปรียบแต่อย่างใด

นายปรมินทร์ กล่าวว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในอนาคตหลังจากนี้  ยังขึ้นอยู่กับแนวทางการกำกับของเรกกูเรเตอร์ว่าจะมีแนวทางอย่างไรต่อไป  เพราะปัจจุบันสะท้อนแล้วกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลตลอด 4 ปีที่ผ่านมาก็เปิดโอกาสให้ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่มีความได้เปรียบมากกว่า จับมือกับบริษัทไทยรายใหญ่  ก็เข้ามาทำธุรกิจนี้ได้ง่ายและต้องมีความชัดเจนในเรื่องการเก็บภาษีคริปโทฯ หากยังดำเนินการเก็บในช่วงตลาดยังไม่มีความพร้อมตอนนี้ ก็จะเป็นอุปสรรคได้เช่นกัน      

“เมื่อยักษ์ใหญ่เปิดหน้าสู้และเป็นรุ่นเฮฟวี่เวท  ตอนนี้มองว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ ผู้เล่นรายเดิม โดยเฉพาะรายเล็ก ต้องปรับตัว อยู่นิ่งไม่ได้ เราต้องรอดูบิซิเนสโมเดลยักษ์ใหญ่คู่นี้ก่อน เราก็ต้องหาวิธีสู่กันต่อไป เราอาจจะไปเจาะตลาดนิชมาร์เก็ตได้หรือขยายตลาดต่างประเทศ” 

 

ซิปแมกซ์ เชื่อแข่งขันได้

นายเอกลาภ  ยิ้มวิไล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ดีลความร่วมมือระหว่างกัลฟ์กับไบแนนซ์ แม้ยังเป็นเพียงการศึกษา แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดคริปโทฯ ในไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดคริปโทฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ทั้งนี้ เมื่อมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น การแข่งขันจะยิ่งสูงขึ้นแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้ประโยชน์สูงสุด คือ ผู้ลงทุนไทยและประเทศไทยที่สามารถดึงนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาได้ด้วย 

"การเข้ามาทำธุรกิจเทรดคริปโทฯ ในไทยยังต้องใช้เวลาในการขอใบอนุญาต และการเข้าสู่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ยังมีหลากหลายมิติที่สามารถทำได้ เช่น  หากดีลนี้ในปัจจุบันยังไม่มีพัฒนาการความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม เราก็คงต้องติดตามก่อน  ขณะที่บริษัทนับว่า มีมาร์เก็ตแชร์และเป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีใบอนุญาตการประกอบธุรกิจมากที่สุดในภูมิภาคเอเซียน ทำให้ยังมีความสามารถในการแข่งขันและเราก็มีการปรับตัวทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายตลาดในไทยและภูมิภาคด้วย 

 อัพบิต เตรียมปรับกลยุทธ์สู้

นายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Thailand) ​และ ในฐานะประธานสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) กล่าวว่า ตลาดคริปโทฯ ในไทยมีการกำกับดูแลโดย ก.ล.ต.  ทำให้แม้มีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาทำธุรกิจนี้ในไทยครั้งแรก  ก็ต้องเข้ามาเริ่มต้นในฐานะผู้เล่นรายใหม่ แต่รู้กันว่าไบแนนซ์ ครองตลาดที่ไม่ถูกกำกับดูแลและคนไทยเปิดบัญชีเทรดกับไบแนนซ์เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เป็นจุดที่ทำให้ผู้เล่นเดิมในตลาด ต้องจับตาว่า กัลฟ์กับไบแนนซ์จะเข้ามาในลักษณะใดก่อน เพื่อปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจรับการแข่งขันที่จะดุเดือดมากกว่านี้ 

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ผู้เล่นรายเดิมในตลาดเทรดคริปโทฯในไทย ยังสามารถแข่งขันได้  เพราะมองว่า ตลาดคริปโทฯยังเป็นไฟแนนซ์เชียลโปรดักส์ที่ไม่ได้มีรอยัลตี  คือ คนๆ หนึ่งสามารถเปิดบัญชีเทรดคริปโทฯ ได้หลายๆกระดาน เช่นเดียวกับตลาดบัตรเครดิต ที่คนๆหนึ่ง จะมีบัตรเครดิตหลายๆใบ  ดังนั้นการมีผลิตภัณฑ์หลากหลายและค่าธรรมเนียมที่ดีกว่า จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นแน่นอน 

ในส่วนของอัพบิตยังคงวางกลยุทธ์ในปี2565 เพิ่มมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 20%จากปัจจุบันที่ไม่เกิน 3% ด้วยการเพิ่ม บริการให้กับลูกค้าของ สามารถไปลงทุน Non-Fungible Token (NFT) ในตลาดต่างประเทศได้ และยังคงค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ถูกที่สุด 0.15%

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายราย ซึ่งมีทั้งสถาบันการเงิน ที่เข้ามาเจรจา เพื่อที่จะเข้ามาร่วมทุนในบริษัท เพื่อช่วยพัฒนาสินค้า  และแพลตฟอร์มฯลฯ ซึ่งบริษัทต้องการพันธมิตรด้านดังกล่าวมากกว่าพันธมิตรที่ใส่แต่เงินเข้ามา เพราะ บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว     

จับตา “กัลฟ์” ขุดบิทคอย์หรือไม่

นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า ปัจจุบันผู้เล่นในตลาดเทรดคริปโทฯของไทยมีมากรายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตื่นเต้นและน่าจับตามากกว่านั้น คือ กัลฟ์กับไบแนนซ์ จะเข้ามาทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบอื่นๆ หรือไม่ อย่างเช่น การขุดคริปโทฯ ด้วยพลังงานหมุนเวียนของกัลฟ์ ซึ่งมีความได้เปรียบต้นทุนและความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ซึ่งน่าติดตามความชัดเจนในประเด็นนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม หากกัลฟ์ พาไบแนนซ์ เข้ามาทำธุรกิจเทรดคริปโทฯในไทยได้จริง แน่นอนว่าจะสร้างความหวือหวาในตลาดในแง่ที่ผู้ใช้งานคนไทยที่คุ้นชินกับการเทรดคริปโทฯ บนไบแนนซ์ต่างประเทศ สามารถใช้งานได้ง่ายบนไบแนนซ์ไทยและการเทรดคริปโทฯ น่าจะมีความสะดวกมากขึ้นมากกว่าเทรดบนกระดานบิทคับ

ทั้งนี้ การแข่งขันในตลาดนี้ยังไม่น่ากลัว เพราะเรกกูเรเตอร์ในไทยยังกำกับอยู่ ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่มีบนไบแนนซ์ต่างประเทศไม่สามารถนำมาให้บริการในไทยได้ ทุกรายก็ยังมีการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ใครจะเข้าถึงฐานลูกค้าได้มากกว่ากัน ซึ่งการแข่งขันด้านราคาเรื่องค่าธรรมเนียมน่าจะกลับมาแข่งขันรุนแรงขึ้น ปัจจุบันค่าธรรมเนียมเทรดคริปโทฯไบแนนซ์คิดเริ่มต้นที่ 0.1% ขณะที่บิทคับอยู่ที่ 0.25% 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วคนที่ได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ คือผู้ลงทุน และยังมีข้อดีคือการเปิดโอกาสดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้าในเทรดคริปโทฯในไทย ผลักดันในอุตสาหกรรมนี้เติบโตได้ในอนาคตด้วย

นอกจากนี้ การเก็บภาษีคริปโทฯ ในไทย หากนักลงทุมีความกังวลเรื่องนี้ เพราะไม่ต้องการจะเปิดเผยข้อมูลกับกรมสรรพากร เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนจะยังคงเทรดบนกระดานต่างประเทศหรือกระดานไบแนนซ์ต่างประเทศเช่นเดิม ยังเป็นประเด็นของการตัดสินใจสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่จะเข้าทำธุรกิจนี้ในไทยด้วย

“บิทคับ” จับตาดีลกัลฟ์-ไบแนนซ์

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ หรือ บิทคับ กล่าวถึงกรณีความร่วมมือระหว่างทางกัลฟ์ และไบแนนซ์ ว่า ขณะนี้เห็นว่ายังเป็นเพียงร่วมมือ เพื่อศึกษาก่อน ต้องรอดูแผนการจัดตั้งให้ชัดเจนว่าจะทำศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไร หากมีความชัดเจนแล้วถึงจะสามารถประเมินได้ว่าจะส่งผลอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดคริปโทฯ ในไทย เชื่อว่าปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากทั้งจากตลาด NFT, Defi Gamefi ที่จะเห็นตลาดขยายตัวมากขึ้นจากธุรกิจเรียลเซ็กเตอร์ที่เข้ามาเชื่อมโยงในธุรกิจใหม่นี้

อีกทั้งการเข้ามาปี 2565 เป็นจุดเริ่มต้นยุคไฟแนนซ์ 3.0 เป็นการมาถึงของบล็อกเชน, อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์  เอไอ วีอาร์ เออาร์ และ เมตาเวิร์ส เป็นต้น เข้ามาปฏิวัติทำให้เศรษฐกิจโลกพัฒนาสู่ ดิจิทัล อีโคโนมี ซึ่งผู้คนไม่จำเป็นต้องจับต้องสินทรัพย์เหล่านั้น

“ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนแปลงเร็วและโควิดเป็นตัวเร่งหลายวงการเศรษฐกิจที่ดังเดิมยุคเก่าได้รับผลกระทบเยอะแต่มีเศรษฐกิจยุคใหม่ new economy ที่เติบโตมหาศาล”

ขณะเดียวกัน มองว่าสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต้องการเติบโตในอนาคต คือการกำกับดูแลซึ่งต้องพิจารณาให้รอบด้านสอดรับกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างเช่นการเก็บภาษีคริปโทฯซึ่งปัจจุบันทกฎหมายที่ใช้นั้นยังมีความไม่ชัดเจนส่วนตัวเสนอให้มีการเลื่อนการจัดเก็บภาษีคริปโทฯไปก่อน 2 ปีเพื่อที่จะดำเนินการข้อกฎหมายต่างๆให้เป็นปัจจุบันมากขึ้นก่อน