สคร.เผย ไตรมาสแรกปีงบ65 ปตท.นำส่งรายได้เข้ารัฐสูงสุดกว่า1.75หมื่นล้าน

สคร.เผย ไตรมาสแรกปีงบ65 ปตท.นำส่งรายได้เข้ารัฐสูงสุดกว่า1.75หมื่นล้าน

สคร.จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินสะสม ณ สิ้นไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2565 จำนวน 4.85 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 34% ของเป้าหมายทั้งปี โดยปตท.นำส่งรายได้สูงสุดกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท

นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2565 (1 ตุลาคม 2564 - 31 ธันวาคม 2564) สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% (กิจการฯ) รวมทั้งสิ้นจำนวน 48,533 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการสะสมจำนวน 6,361 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34% ของเป้าหมายการจัดเก็บในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 142,800 ล้านบาท

โดยเงินนำส่งรายได้แผ่นดินที่เกินกว่าเป้าหมาย เนื่องจาก รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่หลายแห่งมีผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2564 ดีขึ้น จึงนำส่งรายได้แผ่นดินระหว่างกาลปี 2564 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง และธนาคารออมสิน โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 10 อันดับแรก ณ สิ้นไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2565 มีดังนี้

1. บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 17,519 ล้านบาท

2.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 11,745 ล้านบาท

3.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 6,419 ล้านบาท

4.ธนาคารออมสิน 5,313 ล้านบาท

5.การไฟฟ้านครหลวง 2,587 ล้านบาท

6.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2,374 ล้านบาท

7.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 1,345 ล้านบาท

8.การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 700 ล้านบาท

9.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 309 ล้านบาท

10.การประปาส่วนภูมิภาค 124 ล้านบาท

11.อื่นๆ และกิจการฯ  98 ล้านบาท

สำหรับในปีงบประมาณ 2565 จะเป็นการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากผลประกอบการในปี 2564 ของรัฐวิสาหกิจ จึงมีความเป็นไปได้ที่ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ของรัฐวิสาหกิจอาจยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในระลอกที่ผ่านมา

สคร.จะได้มีการติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด โดยจะพิจารณาประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่รัฐวิสาหกิจจะต้องเข้าไปดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชนและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้การกำกับติดตามการนำส่งเงินรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างเสถียรภาพทางการคลังได้อย่างยั่งยืน