กกร.ประเมินโอมิครอนไม่กระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรง

กกร.ประเมินโอมิครอนไม่กระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรง

กกร.คงเป้าจีดีพีปี 65 ไว้ที่ 3.0 - 4.5% ชี้ โอมิครอนแม้จะระบาดแต่ไม่รุนแรง กระทบเศรษฐกิจระยะสั้น เชื่อรัฐบาลดูแลได้ ขอรัฐขยายระยะเวลาเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 ปี พร้อมหาแนวทางลดหนี้ครัวเรือน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน  (กกร.) เปิดเผย ภายหลังการประชุม กกร. ว่าการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจช่วงต้นปีมีแนวโน้มชะลอตัวบ้าง แต่ผลกระทบโดยรวมคาดว่าไม่รุนแรง หลายประเทศมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป แต่การบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเข้มงวดน้อยกว่าในช่วงของการระบาดของสายพันธุ์เดลตามากเนื่องจากความรุนแรงของโรคลดลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงชะลอลงบ้างแต่ส่วนใหญ่ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ

ดังนั้น ภาคการส่งออกของไทยยังมีโอกาสที่จะยังเติบโตหากสามารถป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดมีผลกระทบรุนแรงต่อ supply chain ของภาคการผลิตได้

ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโอมิครอนภาคเอกชมองว่าอาจไม่รุนแรงมากนัก โดยในกรณีฐาน การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่มีความรุนแรงลดลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ภาครัฐสามารถบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีการ Lockdown ควบคู่กับการเร่งระดมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนเพื่อรับมือกับการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ๆ ตลอดจนการปรับตัวของผู้คนตามวิถีปกติใหม่ และการระมัดระวังป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) ทำให้คาดว่าจะกระทบกับ Sentiment ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวจะจำกัดเพียงระยะสั้นหรือราวไตรมาสแรกของปี 2565

ขณะที่การท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในระยะสั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นต่อการเดินทางระหว่างประเทศ ส่วนในประเทศ มีการยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 เป็นระดับ 4 และขอความร่วมมือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัดและการเคลื่อนย้ายของคน

อย่างไรก็ดี คาดว่า ผลจากโอมิครอนจะกระทบการท่องเที่ยวในประเทศไม่มากเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากความรุนแรงของโรคที่ลดลงและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยเริ่มปรับตัวได้กับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และยังให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวในประเทศในระดับสูง ส่วนนักเดินทางต่างชาติคาดการณ์ว่าจะกลับมาปลายเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 โดยตลอดทั้งปี ประเมินจำนวนนักเดินทางเข้าประเทศ ประมาณ 5-6 ล้านคน

กกร. จึงคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 3.0 - 4.5% ขณะที่ประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะยังอยู่ในกรอบ 1.2% ถึง 2.0% แต่จำเป็นต้องมีมาตรการระยะสั้นเพื่อบรรเทาปัญหาสินค้าอาหารราคาแพงเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป"

ทั้งนี้ กกร. ได้มีประเด็นข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ดังนี้ Regulatory Guillotine กกร.เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบ  เช่น  ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลองค์กรทางธุรกิจ SMEs และ Startupปรับปรุงมาตรการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ปรับปรุงมาตรการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  ปรับปรุงหลักการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการค้าของเก่าและการนำผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ (reuse and recycle)

นอกจากนี้ในเรื่องของ กำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2564   วันที่  13 ธ.ค. 2564 ซึ่งใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 มีความไม่ชัดเจนทำให้อัตราการจัดเก็บไม่ได้ลดลง  90 % ตามข้อเสนอของกกร. แต่อย่างใด และอัตราการจัดเก็บยังเป็นไปตามอัตราเดิมเช่นเดียวกับที่เคยกำหนดไว้ใน พรบ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 94

โดยมาตรการดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แม้ว่าในปัจจุบันสถานการณ์ โควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายลง  แต่เนื่องจากปัจจัยปัญหาด้านสาธารณสุขและปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2563 และปี 2564 ยังคงมีผลกระทบต่อไปในปี 2565-2566  ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

ที่ประชุม กกร. จะมีการนำเสนอไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายระยะเวลาการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90  %ออกไปอีก 2 ปี โดยขอพิจารณาออก พรก.ลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง บางประเภทเพิ่มเติม อีกหนึ่งฉบับ  เพื่อลดอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินลงอีกร้อยละ 90 ตามมาตรา 55 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับประชาชนและผู้ประกอบการทั่วประเทศในทุกภาคส่วน

อย่างไรก็ตามกกร.มีความกังวลในเรื่องของปัญหาหนี้ครัวเรือน  ซึ่งรัฐควรมีกลไกหรือนโยบายสนับสนุนการสร้างรายได้ควบคู่กับมาตรการช่วยเหลือด้านอื่นๆ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรอบด้าน และสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้กับครัวเรือนอย่างยั่งยืน