ผ่า "วิถีคิด” อดีตตำรวจสายคริปโทฯ ลงทุน "บิทคอยน์" เหมือน "ทองคำ-ที่ดิน"

ผ่า "วิถีคิด” อดีตตำรวจสายคริปโทฯ ลงทุน "บิทคอยน์" เหมือน "ทองคำ-ที่ดิน"

เหตุใด ? จากอดีตนายตำรวจสายคริปโทเคอเรนซี ตัดสินใจลาออกเพื่อเดินตามความเชื่อตัวเอง “บล็อกเชน” (Blockchain) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกอนาคต พร้อมเผยสไตล์ลงทุนผมถือครองระยะยาว ไม่เทรดทุกวัน ผมเน้นความปลอดภัย ไม่เสี่ยง รีเทิร์นสดใส

รับราชการตำรวจนานกว่า 29 ปีเต็ม ! สำหรับ “พ.ต.อ. ปองพล เอี่ยมวิจารณ์” ตท.33 นรต.รุ่น 49 ซึ่งตำแหน่งสุดท้ายก่อนตัดสินใจลาออกจากราชการ คือ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้กำกับการกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  

ทว่าวันนี้... ขอพลิกผันชีวิตทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมาตลอด นั่นคือ ก้าวเข้าสู่วงการ “บล็อกเชน” (Blockchain) และ “คริปโทเคอเรนซี” (Cryptocurrency) อย่างเต็มตัวนั่นเอง... หลังจากครั้งหนึ่งเคยเสนอไอเดียนำใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนกับระบบตำรวจประเทศไทย เพื่อที่จะลดภาระงาน , เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และป้องกันการทุจริต ซึ่งได้เคยเสนอไปยังทางผู้ใหญ่แล้วเมื่อแต่กลับถูกปฎิเสธ  

หากย้อนไปเมื่อปี 2558 สมัยที่ยังปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะตำรวจไซเบอร์ ได้เข้าไปรับทำคดีแชร์ลูกโซ่ “U-Fund” ซึ่งผู้ต้องหาได้นำ “คริปโทเคอเรนซี” มาเป็นสื่อกลางหลอกลวงนักลงทุน นั่นคือ จุดเริ่มต้นให้ได้รู้จักกับ “บิทคอยน์” (Bitcoin) เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาเพิ่มเติมจนพบว่า สิ่งนี้แหละที่กำลังจะมาเปลี่ยนโลกของเราในอีก 10 ปีข้างหน้า 

ดังนั้น จึงเริ่มศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งผมลงทุนใน “บิทคอยน์” (Bitcoin) มานานหลายปีแล้ว โดย “กลยุทธ์ลงทุน” ในสไตล์ลงทุนของตัวเอง ผมถือครองระยะยาว ไม่เทรดทุกวัน ผมเน้นความปลอดภัย ไม่เสี่ยง ฉะนั้ัน “ผลตอบแทน” (รีเทิร์น) ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีหน่อย 

หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายในตลาดคริปโทฯ วันนี้ได้เลือกใช้วิธี DCA (Dollar Cost Average) นั่นคือ การซื้อโดยไม่สนใจราคา เน้นที่การเก็บออมเป็นประจำ โดยการลงทุนลักษณะนี้ จะทำให้เราทราบต้นทุนเฉลี่ยของเงินที่เราลงทุนไป

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสนใจลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลนั้น อยากให้มองวิถีลงทุนใน “บิทคอยน์” (Bitcoin) หรือ “อีเธอเรียม” (ETH) ซึ่งเป็นอีกเหรียญหนึ่งที่น่าสนใจ จึงมักให้เครดิตใน 2 เหรียญนี้เป็นหลัก 

อดีตตำรวจคริปโทฯ บอกต่อว่า อยากแนะ “3 ข้อปฏิบัติ” กับการลงทุนเหรียญดิจิทัล ว่า 1.ให้มองการลงทุนเหมือนการลงทุนใน “ที่ดิน หรือ ทองคำ” ที่ซื้อวันนี้ไม่ได้ขายทันที อาจจะเป็นเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานในอนาคตได้ หรือ หากมีความจำเป็นค่อยขายได้ 2. การนำเงินบาทไปแลกเป็น “สเตเบิลคอยน์” (Stablecoin) คือ สินทรัพย์นี้ถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าอ้างอิงตามสินทรัพย์อื่น เช่น Tether (USDT) เป็นเหรียญที่มีเสถียรภาพ อ้างอิงตามค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งราคาจะเท่ากับ 1 ดอลลาร์ไม่ขึ้นลง และนำเหรียญเหล่านี้ไปฝาก Decentralized Finance (DeFi) หรือ บริการทางการเงินดิจิทัลแห่งโลกอนาคตแบบไร้ตัวกลางบนบล็อกเชน โดยได้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยปีละ 20% โดยหากต้องการเงินฉุกเฉินก็สามารถขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง (เรียลไทม์) และ 3 การทำฟาร์ม คือการนำเงินของเราไปเสริมผลตอบแทนให้กับเหรียญต่างๆ

ทั้งนี้ คุณสมบัติของทองคำ มีทั้งคุณสมบัติทั้งความคงทน (Durability) และความมีจำกัด (Scarcity) ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ทำให้ทองคำ “มีค่า” จากก้อนหิน (โลหะ) ธรรมดาจนคนนำ “ทองคำ” มาค้ำประกันมูลค่าของเงินกระดาษ (Fiat Money) ซึ่งจริง ๆ แล้ว “บิทคอยน์” ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับทองคำ ทั้งความคงทน (ของบล็อกเชน) ที่ไม่มีใครสามารถ Hack หรือทำลายได้ อีกทั้งยังมีจำกัด ลดการผลิตลงทุก 4 ปี จนไม่สามารถผลิตเพิ่มได้

“แต่ลักษณะที่ทำให้ บิทคอยน์ เหนือกว่าทองคำก็คือ บิทคอยน์ สามารถโอนถ่าย ขนย้าย ได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่าทองคำมาก”

ปัจจุบันก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง นั่นคือ บริษัท บล็อกเชน ไพรม์ โฮลดิ้ง จำกัด ประกอบกิจการพัฒนาแพลตฟอร์ม โดยอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งในขณะนี้ “ปองพล” บอกว่า มีอยู่ 3 โครงการที่กำลังดำเนินการ โดยโปรเจคแรก คือ ธุรกรรมลงทุนใน “ธุรกิจโซเชียลบูโร” (Social Bureau) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรายงานและตรวจสอบประวัติอาชญากรรมบนบล็อกเชนแห่งแรกของโลก