“เคอรี่ โลจิสติคส์”โชว์แผนปี 65 รุกขนส่งตลาดแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์

“เคอรี่ โลจิสติคส์”โชว์แผนปี 65  รุกขนส่งตลาดแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์

ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปีนี้คาดว่าจะเติบโตถึง 4.01 ล้านล้านบาท ในขณะที่กลุ่มสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มาก “เคอรี่ โลจิสติคส์” จึงเห็นโอกาสและประกาศรุกตลาดดังกล่าว โดยใช้ฐานคลังสินค้าที่มีใน จ.ระยอง จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ

พงศ์ศิริ ศิริธร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทเคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในกลุ่ม Kerry Logistics Network Limited หรือ KLN ยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เปิดเผยว่า แผนการลงทุนปี 2565 จะมุ่งเจาะกลุ่มตลาดแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เซคเตอร์ที่ยังมีผู้เล่นรายใหญ่น้อยราย อีกทั้งตลาดสินค้าแบรนด์เนมและไลฟ์สไตล์ระดับไฮเอนด์ยังเป็นกลุ่มได้รับผลกระทบน้อย นอกจากนี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซยังเติบโตมาก สวนกระแสโควิด-19

“เรามีแผนเปิดคลังแฟชั่นและไลฟ์สไตล์อย่างเป็นทางการเดือน ม.ค.2565 ซึ่งขณะนี้อยูในขั้นตอนดำเนินงาน โดยจะเปิดรับสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาเก็บในคลังปลายปีนี้ คาดว่าปีหน้ากลุ่มธุรกิจแฟชั่นแอนด์ไลฟ์สไตล์ จะมีสัดส่วนรายได้เติบโตขึ้นเท่าตัว รวมถึงมองว่าในอนาคตไทยมีโอกาสเป็นศูนย์รวมแฟชั่นของแบรนด์ระดับโลกมากขึ้น”

การให้บริการด้านคลังสินค้าและการขนส่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจแฟชั่นแอนด์ไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะสินค้าระดับไฮเอนด์เพราะสินค้ามีมูลค่าสูง การที่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกจะให้ความไว้วางใจและใช้บริการ คลังสินค้าต้องทันสมัย มีมาตรฐานระดับสากล และมีประสบการณ์ ซึ่งเคอรี่ โลจิสติคส์ มีความมั่นใจด้านบริการขนส่งสินค้า 

รวมทั้งการที่เป็นบริษัทมีเครือข่ายการบริการทั่วโลกมีศักยภาพสูง บุคลากรมีประสบการณ์สูง จึงมั่นใจว่าจากคุณสมบัติและความพร้อมของบริษัทจะตรงความต้องการลูกค้า โดยเฉพาะประสบการณ์จากตลาดฮ่องกงและจีนเอง ได้เปิดให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดีอยู่แล้วจึงนำความสำเร็จนั้นมาใช้ในไทย

ทั้งนี้ ภายในคลังสินค้าแฟชั่นที่เปิดใหม่รองรับการใช้เทคโนโลยีเวอร์ชันล่าสุดในการบริหารจัดการคลังสินค้าและการจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเก็บข้อมูลการทำงานบนคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การแสดงผลข้อมูลที่มีค่าแก่ลูกค้าให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพทั้งด้านต้นทุนและการให้บริการ

ปัจจุบัน เคอรี่ โลจิสติคส์ มีพื้นที่ให้บริการคลังสินค้ารวม 1,008,545 ตารางฟุต แบ่งเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ คลังสินค้าสาขา ระยอง พื้นที่ 316,587 ตารางฟุต คลังสินค้าสาขาแหลมฉบัง พื้นที่ 484,214 ตารางฟุต คลังสินค้าสาขาบางนา พื้นที่ 207,743 ตารางฟุต

โดยมีสัดส่วนรายได้ของเคอรี่ โลจิสติคส์ แบ่งเป็น การบริการคลังสินค้า 59% และการบริการขนส่ง 41% และบริการอื่น เช่น การบริหารการบรรจุหีบห่อ, การจัดการด้านการตลาดออนไลน์

นอกจากนี้ มีกลุ่มลูกค้าในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เป็นแกนธุรกิจหลักของเคอรี่ โลจิสติกส์ โดยเฉพาะยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมยายนต์เริ่มมีปริมาณการขนส่งชะลอตัว ในระหว่างนี้จึงมองหาลูกค้าใน “กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า” รวมทั้งมีลูกค้าในธุรกิจสินค้าสุขภาพและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่กำลังมาแรง สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค

สำหรับแผนการลงทุนปี 2565 เคอรี่ โลจิสติคส์ จะโฟกัสที่การลงทุนกลุ่มอาหารและเกษตรกรรมแปรรูป รับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยจะเปิดตัวบริการ “เคอรี่ คูล” นวัตกรรมการขนส่งเย็นช่วงกลางปี 2565

“ตลาดขนส่งเย็นมีดีมานต์แฝงอยู่มาก ยกตัวอย่างในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีรถขนส่งเย็นของตนเอง ใช้งานการขนส่งไม่คุ้นค่าต้นทุนที่ต้องเสียไป”

นอกจากนี้ เป้าหมายภายใน 3 ปี เคอรี่ โลจิสติกส์จะเติบโตขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรในไทย รวมทั้งขยายความสัมพันธ์ของสินค้ากับเครือข่ายจีน เพิ่มโอกาสให้เกิดการค้าระหว่างไทยและจีน ด้วยจุดแข็งสำคัญของเคอรี่ โลจิสติกส์ คือองค์ความรู้ในตลาดภูมิภาคเอเชียจึงมีความเข้าในความต้องการของลูกค้า รวมถึงด้านวัฒนธรรม

“บริษัทมีความชำนาญในการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรในไทย และด้วยเครือข่ายที่มีครอบคลุมทั่วโลกจะสนับสนุนและสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการของไทยในการเชื่อมโยงธุรกิจสู่เวทีระดับภูมิภาคเอเชียหรือแม้แต่ระดับโลก”

การแข่งขันของตลาดโลจิสติกส์ในไทยดุเดือดมากในช่วงที่ผ่านมา การเติบโตของผู้ประกอบการไทยและปริมาณการผลิตที่อยู่ช่วงชะลอตัวจึงทำให้ตลาดโลจิสติกส์ยิ่งแข่งขันกันมาก รวมถึงการเปลี่ยนไปของตลาดกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จากดิสรัปชัน โดยเฉพาะจากโควิด-19 ทำให้เกิด New Normal ของการดำเนินธุรกิจของลูกค้าที่ไม่เหมือนเดิม บริษัทจึงพัฒนานวัตกรรมและหาเทคโนโลยีใหม่มาบริหารจัดการคลังสินค้า สต๊อกสินค้าและการขนส่งที่จะทำให้การบริการด้านโลจิสติกส์เป็นเรื่องง่าย รวดเร็ว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนในอนาคต

“การที่ลูกค้ามีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ช่วยบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ในยุคดิสรัปชัน เคอรี่ โลจิสติคส์ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่อยู่เคียงข้างลูกค้าในการทำธุรกิจแบบยั่งยืน”