บรรยากาศลงทุนโดยรวมในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายยังเป็นบวก

บรรยากาศลงทุนโดยรวมในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายยังเป็นบวก

ในระยะสั้นสถานการณ์ระบาดจะไม่สร้างผลกระทบต่อการลงทุน แม้สถานการณ์ระบาดล่าสุดจะพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนในไทยแล้ว 104 ราย

เราประเมินภาพการลงทุนในระยะสั้นจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากประเด็นเรื่องสายพันธ์โอมิครอนจากหลายปัจจัยได้แก่ 1) ผลการศึกษายืนยันความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธ์เดลต้า 40-45% 2) องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อนุมัติยาต้าน Covid ของ Pfizer 3) รัฐบาลทั่วโลกยังไม่ได้ปรับท่าทีในการรับมือกับโอมิครอนต่างไปจากที่เคยใช้กับสายพันธ์เดลต้า 4) อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดระลอกล่าสุดหนัก ประกาศลดระยะเวลาบังคับประชาชนกักตัวเองเพื่อควบคุมโรคโควิด จาก 10 วัน ลงเหลือ 7 วัน หากผลตรวจเชื้อออกมาเป็นลบ 2 วันติดต่อกัน เป็นสัญญาณบวกให้กับประเทศอื่นๆ

กลุ่มพลังงานมีโอกาสมาช่วยประคองตลาด จากความกังวลเรื่องผลกระทบของโอมิครอนต่อการฟื้นตัวน่าจะยังอยู่ในระดับที่จำกัด ขณะที่ข่าวความขัดแย้งเรื่องการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียให้เยอรมนี ผลักดันราคาก๊าซธรรมชาติยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงราคา LNG ตลาดจรเอเชียขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อราคาน้ำมันดิบและถ่านหิน ทำให้กลุ่มพลังงานอาจมีบทบาทช่วยประคองจิตวิทยาการลงทุน อย่างไรก็ตามด้วยผลประกอบการที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้เรามองเพียงซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้น โดยมีหุ้นเด่น คือ BANPU และ OR
 

 

 

กนง.ปรับลดคาดการณ์สะท้อนความเสี่ยงโอมิครอน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามมีการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ (ตัวเลขในวงเล็บคือการการณ์เดิม) โดยปรับเพิ่ม GDP ปี 2564 เป็น 0.9% (จาก 0.7%) จากการส่งออกที่เติบโตดีกว่าคาด อย่างไรก็ตามปรับลด GDP ปี 2565 เป็น 3.4% (จาก 3.9%) โดยเป็นการปรับลดตัวเลขในเกือบทุกด้าน รวมถึงปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลงเหลือ 5.6 ล้านราย (จาก 6 ล้านราย) สะท้อนสถานการณ์ระบาดที่อาจะยืดเยื้อ

ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น บวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, TIPH 2) หุ้นบริโภคในประเทศ CPN, CRC, CPALL, MAKRO 3) ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หนุนการย้ายฐานผลิตมาไทย บวกกับ AMATA, WHA, ROJNA, CCET, SMT 4) กลุ่มการเงินหรือ IPO ที่ยังขึ้นน้อย IFS, PIN, ONEE, CV, UBE, DMT, ASW 5) ทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) กลุ่มได้ประโยชน์จากโควิด BCH, CHG, STA, STGT, SMD, WINMED อาจฟื้นช่วงสั้น แต่เราคงมุมมองระวังจากกำไรที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยชอบ RAM 

ภาพรวมกลยุทธ์: ยังเป็นการฟื้นตัวในกรอบ 1,608-1,650 จุด หลังกังวลโควิดผ่อนคลายลง และมาตรการของขวัญปีใหม่ ที่สร้างจิตวิทยาบวกต่อการลงทุน //หุ้นแนะนำ: ONEE, FSMART*, TKN*, IND*

แนวรับ: 1,608-1,620 / แนวต้าน : 1,635-1,650 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

 

 

 

ประเด็นการลงทุน

GDP สหรัฐฯ – ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ขยายตัว 2.3% สูงกว่าประมาณการครั้งที่สองและที่ตลาดคาดการณ์ที่ 2.1% อย่างไรก็ตามชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 และ 1 ที่ 6.7% และ 6.3% 

ECB อาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วสุดสิ้นปี 2565 - นายโรเบิร์ต โฮลซแมน กรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยในวันนี้ (22 ธ.ค.) ว่า ECB อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในช่วงสิ้นปีหน้า

ครม.เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง - ครม. เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 66-69 คาด GDP ปี 66 ขยายตัว 3.2 -4.2% มุ่งดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวผ่านการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล ประมาณการรายได้รัฐจะเกิน 2.5 ล้านลบ. ตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป

พบโอมิครอนในไทย 104 คน จ่อทบทวนมาตรการ– ศบค.พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนในไทยแล้ว 104 คน พร้อมเตรียมทบทวนการปรับระดับมาตรการคุมการแพร่ระบาดอีกครั้ง วันที่ 4 ม.ค. 65 หลังงดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านระบบ Test&Go และ Sandbox ตั้งแต่วันนี้

Opportunity day – 24 ธ.ค. – HFT, FVC, SONIC

 

ประเด็นติดตาม: - 23 ธ.ค. – ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ / รายได้ผู้บริโภค/ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และยอดขายบ้านใหม่

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)