‘เวิลด์เฟล็กซ์’ขยายกำลังผลิต เงินไอพีโอเพิ่มโอกาสเติบโต

‘เวิลด์เฟล็กซ์’ขยายกำลังผลิต  เงินไอพีโอเพิ่มโอกาสเติบโต

ปริมาณความต้องการ (ดีมานด์) การใช้เส้นด้ายยางยืดทั้งโลกในปัจจุบันสูงถึงระดับ“2 แสนตัน” หนึ่งในบริษัทที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่วยต้องมี บมจ. เวิลด์เฟล็กซ์ WFX ผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งและเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบซิลิโคนรายแรกของไทย

กำลังเดินหน้าสร้าง “ความมั่งคั่ง” ครั้งใหม่!ด้วยการนำ WFX ก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นโดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 142 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 7.20 บาท คาดซื้อขายวันแรก (เทรด) ก่อนวันคริสต์มาส

แบ่งเป็นจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ TRUBB จำนวนไม่เกิน 11.36 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทไม่เกิน 14.20 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 18.46 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยกว่า 97.98 ล้านหุ้น

“ณัฐ วงศาสุทธิกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ WFX  เป้าหมายของการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นเพื่อสร้าง “โอกาส” รองรับการเติบโต รวมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดใหม่ๆภายใต้“จุดแข็ง”ของบริษัทที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นความได้เปรียบของโปรดักท์ที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกขนาดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

อีกทั้ง บริษัทยังมีความได้เปรียบด้านการเข้าถึง“วัตถุดิบ”(ยางพารา) เพราะโรงงานผลิตของบริษัทอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นอันดับ 1 ของโลก เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด รวมทั้งการที่มี TRUBB ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ช่วยให้บริษัทเข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการได้

สะท้อนผ่านเงินขายหุ้นไอพีโอบริษัทนำไปใช้“ขยายกำลังผลิตเส้นด้ายยางยืด”มูลค่า 740 ล้านบาท กำลังผลิต 12,400 ตันต่อปี จากกำลังผลิตปัจจุบัน 35,000 ตันต่อปี คาดจะใช้เงินไอพีโอจำนวน 350 ล้านบาท

โดยบริษัทแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 เฟส ซึ่งลงทุน “เฟสแรก” กำลังผลิต 6,200ตันต่อปี คาดจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ช่วงกลางปี 2565  และ“เฟสสอง” กำลังผลิต6,200 ตันต่อปี จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2566 ทำให้บริษัทสามารถรองรับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ของลูกค้าได้มากขึ้น และทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับการเติบโตของยอดขายได้เฉลี่ย 15% ต่อปี

“เรามองเห็นตลาดที่มีโอกาสในการขยายเข้าไปอีกมาก จากปริมาณความต้องการเส้นด้ายยางยืดทั่วโลกแม้ว่าผู้ประกอบการเส้นด้ายยางยืดในโลกมีอยู่หลายราย แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งตลาด (Market share) มากสุด รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้นำที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับต้นๆ ทำให้มีศักยภาพรองรับออเดอร์ลูกค้าอีกมาก”

นอกจากนี้ นำไปใช้คืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่มีดอกเบี้ยสูง จำนวน 400 ล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงไปได้อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงมาที่ 0.3 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.12 เท่าทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินลดลง รวมถึงการบริหารสต็อกและค่าเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ 248.12 ล้านบาท

เขาบอกต่อว่า ในแผนธุรกิจของบริษัทมีการวางกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า โดยการเจาะ “ตลาดใหม่ๆ” สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีความหลากหลาย การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตที่วางแผนไว้ส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพที่แตกต่างกันไปสามารถรองรับความต้องการที่แตกต่างของเส้นด้ายยางยืดได้เพิ่มขึ้นทั้งจากฐานลูกค้าเดิมและการขยายฐานลูกค้าใหม่

รวมถึงสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภท “ผู้ใช้งานโดยตรง” (End-user)ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภทผู้ใช้งานโดยตรง ได้ในราคาที่สูงกว่ากลุ่มลูกค้าประเภท“ผู้จำหน่ายสินค้า” (Distributor)ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นบางส่วนของอุปสงค์ของเส้นด้ายยางยืดชนิดเคลือบแป้งซึ่งเป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายคล้องหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE และหมวกคลุมผมทางการแพทย์ เป็นต้น

ขณะที่ ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 เติบโตโดดเด่นโดยมีรายได้รวม2,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท ถือเป็นการ “สร้างสถิติสูงสุด” เป็นประวัติการณ์

ท้ายสุด “ณัฐ”บอกไว้ว่า เรามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น สอดคล้องกับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้ง ที่สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิดมากยิ่งขึ้นทั้งในด้านขนาดและคุณภาพ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และในหลากหลายอุตสาหกรรมอีกด้วย