ธปท. ชี้ธุรกิจประกันภัย ฐานะการเงิน ‘มั่นคง’ ขายประกันโควิด-19 กระทบจำกัด!

ธปท. ชี้ธุรกิจประกันภัย ฐานะการเงิน ‘มั่นคง’ ขายประกันโควิด-19 กระทบจำกัด!

ธปท.เปิดผลประชุม กนง.-กนส. ชี้ฐานะการเงินบริษัทประกันโดยรวมมั่นคง ยังผลกระทบจากการขายประกันโควิด-19 เจอ จ่าย จบ จำกัดอยู่เฉพาะบางบริษัทที่ขายเท่านั้น

        ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่าง กนง. และ กนส. วันที่ 
8 ธันวาคม 2564 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นว่าระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) มีเงินกองทุน 
เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนความต้องการสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า 

      ด้านธุรกิจ ธุรกิจประกันภัยยังมีฐานะการเงินมั่นคง โดยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำกัดอยู่เฉพาะบางบริษัทที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ-จ่าย-จบ ซึ่งได้มีมาตรการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินแล้ว

    ขณะที่ตลาดการเงินมีเสถียรภาพและสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ

      ทั้งนี้  ในช่วงที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน
และช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

     โดย ธปท. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาวอย่างยั่งยืน มาตรการรวมสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายย่อยอื่น ๆ ข้ามธนาคาร (debt consolidation) มาตรการผ่อนเกณฑ์วงเงิน ระยะเวลากู้ และลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เป็นต้น ซึ่งสามารถบรรเทาภาระในการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ครัวเรือนและ SMEs 

       ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม
การประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยสำหรับกรมธรรม์โควิด-19 แบบเจอ-จ่าย-จบ และออกมาตรการผ่อนผันหลักเกณฑ์ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง
      เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้บริษัทประกันภัย โดยลดภาระด้านการดำรงเงินกองทุนและสำรองประกันภัยอันเกิดจากการรับประกันภัยโควิด-19  

    รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนและเสริมสภาพคล่อง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีทางเลือกในการระดมทุนมากขึ้น

     โดยออกหลักเกณฑ์กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (high yield bond fund) กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัญหาชำระหนี้คืน (stressed bond fund) และกองทรัสต์ที่มีข้อกำหนดขายคืน (REIT buy-back) เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความไม่แน่นอนของการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่และผลกระทบที่อาจมีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่ประชุมเห็นว่า ยังจำเป็นต้องผลักดันให้มาตรการเป็นไปตามเป้าประสงค์ 

     พร้อมกับประเมินความเพียงพอของมาตรการควบคู่กับบริบทการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอน ประสิทธิภาพของวัคซีน และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงกรณีเลวร้ายที่ต้องกลับไปล็อคดาวน์ เป็นต้น 

    ทั้งนี้ นอกจากการประคับประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้สะดุดแล้ว ที่ประชุมเห็นควรเตรียมความพร้อมด้านมาตรการและเครื่องมือในการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะปานกลาง (2 ถึง 3 ปี) ซึ่งจำเป็นต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล 

    โดยที่ประชุมให้น้ำหนักกับการดูแลความเสี่ยงสำคัญที่มีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในอีก 2 ประเด็นดังนี้

    1. หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงิน (สง.) และเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปนั้น ควรเร่งผลักดันมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้สูงอย่างต่อเนื่อง 

     โดยเฉพาะการผลักดันให้ สง. เร่งปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน
แก่ลูกหนี้รายย่อยที่มีศักยภาพแต่มีภาระหนี้สูงให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ 

  เตรียมความพร้อมมาตรการชะลอ
การก่อหนี้ใหม่ในด้านการกำกับดูแลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินประเภทต่าง ๆ รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ทำควบคู่กับการฟื้นฟูรายได้และให้ความรู้ทางด้านการเงินแก่ประชาชน เพื่อให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น และภาคครัวเรือนสามารถหลุดพ้นจากกับดักหนี้ได้ในที่สุด

     2. ความเสี่ยงที่ส่งผ่านระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในระบบการเงิน เช่น ความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักลงทุนโดยทั่วไป สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือกองทุนรวม และส่งผลต่อต้นทุน
การระดมทุนของภาคธุรกิจ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานภาครัฐ
ที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมมาตรการและเครื่องมือรองรับและยกระดับเกณฑ์การกำกับดูแล
ในช่วงเวลาที่สอดรับกัน 

    เช่น การมีมาตรการดูแลความเสี่ยงของบริษัทขนาดใหญ่ ที่ระดมทุนผ่านทั้งช่องทางสินเชื่อและการออกตราสารหนี้ พร้อมกับการมีเกณฑ์กำกับดูแลเพื่อลดการกระจุกตัวของการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงการมีเกณฑ์เพื่อดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของกองทุนรวมที่เข้มงวดขึ้น เป็นต้น 

    เพื่อจำกัดการส่งผ่านความเสี่ยงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบการเงิน รองรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

     ทั้งนี้ มติที่ประชุมเห็นควรให้หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ธปท. ก.ล.ต. และ คปภ. ร่วมกันติดตาม
ความเสี่ยงเฉพาะหน้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลของการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตลอดจนประเมินความเพียงพอและประสิทธิผลของมาตรการที่ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านมาตรการและเครื่องมือในการรองรับความเสี่ยงระยะปานกลางที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะมาตรการที่ต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป