Sideways เก็งกำไร STARK RBF KBANK (2 ธ.ค. 64)

Sideways เก็งกำไร STARK RBF KBANK (2 ธ.ค. 64)

คาดดัชนีฯ Sideways แนวต้าน 1600 / 1610 จุด แนวรับ 1580 / 1570 จุด แนะนำ เก็งกำไร STARK RBF KBANK ทางเทคนิค ดัชนีฯ มีแนวโน้มขึ้นทดสอบแนวต้านจิตวิทยาที่ 1600 จุดก่อนที่จะย่อตัวอีกครั้งตามภาพใหญ่ที่ยังคงเป็นทิศทางขาลง

จึงแนะนำใช้จุดดังกล่าวเป็นจุดขายทำกำไรระยะสั้น เพื่อรอเข้าซื้อรอบใหม่ หรือพิจารณาเปิด Short Position ใน SET50 index future เพื่อ hedging พอร์ตฯ ส่วนความเสี่ยง คือ การวิตกต่อการระบาดของ Omicron กระทบเศรษฐกิจโลก หลังมีการพบผู้ติดเชื้อ Omicron รายแรกเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยล่าสุด คือ USA

 

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ
 

       - หุ้นรีบาวนด์: หุ้นที่มีแนวโน้มรีบาวนด์ หลังจากราคาเริ่มส่งสัญญาณการกลับตัวทางเทคนิค หุ้นแนะนำ KBANK TCAP BAM CHAYO HMPRO CPALL RBF ADVANC CPN
       - หุ้นโมเมนตัมบวก: หุ้นที่มีการปรับขึ้นอย่างโดดเด่นในวันทำการก่อนหน้าและมี Momentum เชิงบวกการปรับขึ้นได้ต่อ หุ้นแนะนำ STARK ECL JTS TKS
       - หุ้นกลุ่มโรงกลั่น: เก็งกำไร OPEC+ ชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ หุ้นแนะนำ TOP PTT SPRC

*สามารถติดตามหุ้นที่น่าสนใจเพิ่มตามจากรายงาน BIG TACTICAL PICKS และ SMALL TOP PICKS
 

ปัจจัยบวก

     +Thailand: MPI เดือน ต.ค. อยู่ที่ 97.99 ขยายตัว 2.91% YoY ส่งผลให้ MPI 10 เดือน (เดือน ม.ค.-ต.ค.) อยู่ที่ 97.26 ขยายตัว 5.93% YoY จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ทำให้สศอ. ปรับเป้า MPI ปี 2021 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5.2% YoY จากเดิม 4-5% YoY
     +Thailand: ตลาดหุ้นไทยตอบรับเรื่อง COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนไปแล้วในระดับหนึ่ง ประกอบกับเสร็จสิ้นการ Rebalancing ของ MSCI ทำให้แรงขายมีแนวโน้มชะลอตัวลง หนุนให้ดัชนีฯ มี Upside ในการรีบาวนด์ได้ในระยะสั้น

 

 

 

ปัจจัยลบ
 

    -OECD: OECD ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 5.6% ใน 2021 จากประมาณการเดิม 5.7% ในเดือน ก.ย. ส่วนปี 2022-23E คาดขยายตัว 4.5% และ 3.2% ในปี 2023 ร่วมถึงปรับลดคาดการณ์การขยายตัวรายประเทศในปี 2022
    -Market Risks: ตลาดจะมีความผันผวน 1-2 สัปดาห์ เพื่อรอความชัดเจนการวิเคราะห์จากหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ก่อนว่าไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวมีความรุนแรงเพียงใด และวัคซีนเดิมมีประสิทธิภาพรักษาหรือไม่
    -Interest Rate Risks: นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณยุติการทำ QE เร็วขึ้น โดยจะลดวงเงินซื่อพันธบัตร จากปัจจุบัน 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะหารือในการประชุม FOMC วันที่ 15 – 16 ธ.ค.

 

ประเด็นที่ต้องติดตาม

      - Opportunity Day: CHO NER AIMIRT LALIN AMATAV UKEM FN
      - การประชุมOPEC+ วันนี้ โดย Consensus คาดอาจมีมติชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ หลังจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรประกาศแผนระบายน้ำมันสำรองออกมา ต้นปีหน้า
      - ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. ของญี่ปุ่น โดย Consensus คาดเพิ่มขึ้นจาก 39.2 สู่ระดับ 40  
      - ตัวเลข PPI เดือน ต.ค. จากทางยูโรโซน โดย Consensus คาดการณ์ที่ +19% เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน
      - ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการณ์ารว่างงานรายสัปดาห์ โดย Consensus คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจำก 1.99 แสนราย เป็น 2.4 แสนราย

 

 

+/-Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

+ หุ้นไทยรีบาวด์ปิดบวก: ดัชนีฯ ยืนบวกได้ตามการรีบาวนด์ของตลาดหุ้นเอเชีย ก่อนปิดตลาดที่ 1590.81 จุด +22.12 จุด วอลุ่มซื้อขาย 9.3 หมื่นล้านบำท นำขึ้นโดยกลุ่มธนาคาร +2.37% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร +2.14% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค +1.80% กลุ่มพาณิชย์ +1.72% หุ้นบวก >4% CPN ABM BAM WIN BROOK WHA UKEM STARK FSS XPG GIFT ECL ONEE TKS FORTH หุ้นลบ >4% TRC FLOYD TWZ M-PAT TNL DTCI AQ

+/- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ส่วนยุโรปปิดบวก: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกจากพุ่งแรง กลับมาปิดลบ DJIA -1.34% S&P500 -1.18% NASDAQ -1.83% หลัง CDC ประกาศพบผู้ติดเชื้อ Omicron รายแรกที่ซานฟรานซิสโก แม้ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ส่งผลวิตกต่อการแพร่ระบาดระลอกใหม่และประธานเฟดส่งสัญญาณเร่งลดปริมาณ QE ในการประชุมเฟดครั้งหน้า ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก CAC40 +2.39% DAX +2.47% FTSE +1.55% จากแรงซื้อคืนของหุ้นที่ร่วงแรงในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา

+/- น้ำมันปิดลบ ส่วนทองคำปิดบวก: WTI -61 เซนต์ ปิดที่ USD65.57/บาร์เรล Brent -36 เซนต์ ปิดที่ USD68.87/บาร์เรล หลังจาก EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ก่อนสูงกว่าคาด (ลดลง 9.1 แสนบาร์เรล Vs คาดลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล) และวิตกข่าวสหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อ Omicron อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันดิบโลกในอนาคต ส่วนทองคำปิดบวก +USD7.80 ปิดที่ USD1,784.30 ออนซ์ จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

 

+/-ประเด็นสำคัญ

- COVID-19: WHO กล่าวว่า ขณะนี้เชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้แพร่ระบาดไปใน 23 ประเทศทั่วโลก และ WHO คาดการณ์ว่าจำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ดี นายแพทย์ทีโดรส ระบุว่า COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า ยังคงครองสัดส่วนมากที่สุดในจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกและการใช้มาตรการในการสกัดไวรัส สายพันธุ์เดลต้าก็จะช่วยสกัดสายพันธุ์โอมิครอนได้เช่นกัน

+ USA: ADP และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 534,000 ตำแหน่ง ในเดือน พ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 525,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 571,000 ตำแหน่ง ในเดือน ต.ค. โดยภาคบริการมีการจ้างงานเพิ่ม 424,000 ตำแหน่ง ภาคการผลิตจ้างงานเพิ่ม 110,000 ตำแหน่ง

+ Thailand: ปตท. และบางจาก ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ลงลิตรละ 50 สตางค์ เว้น E85 ลดลง 30 สตางค์ ส่วนดีเซล ลดลงลิตรละ 40 สตางค์ มีผลวันนี้ (2 ธ.ค. 2021) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์: BCH CHG STGT

หุ้นแนะนำเก็งกำไร: STARK RBF KBANK

Derivatives: แนะดักเปิดสถานะ Short S50Z21 เก็งกำไรเมื่อดีดตัว (ติดตามรายละเอียดเพิ่มใน KTZ-D Report)