ส่องคริปโทฯสายพันธุ์ไทย KUB -JFIN ผ่านดีลเอ็กซ์ธุรกิจใหม่

ส่องคริปโทฯสายพันธุ์ไทย KUB -JFIN ผ่านดีลเอ็กซ์ธุรกิจใหม่

การเติบโตอย่างรวดเร็วตลาดคริปโทเคอเรนรี่มีมูลค่าการซื้อขายเป็นหลายเท่าตัวเทียบกับปีก่อน และในไทยร้อนแรงข้ามปีผลักดันทั้งมูลค่าการซื้อขาย ผู้ลงทุน จนเกิดเหรียญสายพันธุ์ไทยที่สร้างราคาไปถึงดาวจันทร์ (go to the moon) อย่าง บิทคับ คอยน์ หรือ KUB และ เจฟินคอนย์ หรือ JFC

ช่วง 2 วันที่ ผ่านมา (29-30 พ.ย.) เกิดปรากฎการณ์ ราคาเหรียญคริปโตฯสายพันธุ์ไทย ทำราคานิวไฮด้วยแรงซื้อเก็งกำไรและภายในวันเดียวกันราคาก็ร่วงลงอย่างรุนแรง  จากราคาไปสู่ดวงจันทร์ถูกดึงลงมายังภาคพื้นดินได้อย่างง่ายดาย  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในตลาดที่มีความเสี่ยงสูงมากอย่างคริปโตฯ

โดยปฎิกริยาราคา go to the moon   ของ KUB  เริ่มตั้งแต่เกิดดีลเข้าซื้อหุ้นใน บิทคับ (Bitkub) X กับธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)  ต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาส่งผลทำให้ราคา KUB เริ่มมีการปรับตัว ทำให้มูลค่าการซื้อขายคึกคักมีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนจำนวนมาก จากต้นปี 2564 ราคาเหรียญนิ่งอยู่ที่ 16-18 บาทต่อเหรียญ

จากนั้นมีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่องใช้เหรียญคริปโทฯ ชำระแทนเงินสดกับโครงการอสังหาฯ ผ่าน Wallet ของบิทคับ ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN   จนในช่วงสัปดาห์เดียว 26-30 พ.ย. 64 ราคาทะลุ 100 บาทต่อเหรียญได้เป็นครั้งแรก  จากข่าวการบิทคับ X กลุ่มเดอะ มอลล์ กรุ๊ป จัดตั้ง “บิทคับ เอ็ม” ถือหุ้นในสัดส่วนคนละ 50 %  ซึ่งเบื้องต้น สามารถนำสกุลเงินดิจิทัลมาแลกสินค้าและบริการ ที่ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า ในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป  และไม่มีค่าธรรมเนียม

การเก็งกำไรใน KUB พุ่งทะยานไปถึงราคาสูงสุด 500 บาท (30 พ.ย.) เรียกได้ว่าสัปดาห์เดียวผลตอบแทน 367 % ก่อนที่ราคาเหรียญจะร่วงระเนระนาดเป็นลักษณะขายทำกำไรและเทกระจาดขายเหรียญออกมาจนราคาลงอยู่ที่ 234 บาทในวันเดียวกัน

ส่องคริปโทฯสายพันธุ์ไทย KUB -JFIN ผ่านดีลเอ็กซ์ธุรกิจใหม่

เนื่องจากมีข้อมูลก่อนหน้านี้ว่าวันที่ 1 ธ.ค.จะมีการทยอยปลอดล็อกเหรียญ KUB จำนวนนับล้านเหรียญจากแพลตฟอร์ม Bitkub  next หรือ Bonus kub ที่มีการล็อคเหรียญไว้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.  ซึ่งเป็นอีกแรงทำการเห็นราคาร่วงตามหลักดีมาร์ดและซัพพราย

อีกเหรียญที่จะไม่เขียนถึงไม่ได้  JFC  ของ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART  ที่ปล่อยเหรียญมาตั้งแต่ปี 2561 ราคา ICO 6.60 บาท สามารถขายได้หมดเกลี้ยงแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จราคาเปรี้ยงปร้างในตลาดรอง ด้วยมูลค่าของเหรียญไม่เพิ่มขึ้นจนราคาลงไปต่ำถึงติดลบ

จุดเปลี่ยนของ JFC  ช่วงเดือนก.ย. หลังกลุ่มเจมาร์ท ตั้งแต่ JV ร่วมกับกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง  ที่มีบริษัทลูกทั้ง ธุรกิจตามทวงหนี้ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ,บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ,ธุรกิจอสังหาฯ บริษัท เจเอเอส จำกัด (มหาชน) หรือ J และ บริษัท เจฟินเทค จำกัด เป็นผู้ออกเหรียญ JFC

และปรากฎการณ์กลุ่ม JMART X เกิดขึ้นอีกเมื่อมีการยอมรับเข้าร่วมเป็นพันธมิตรผ่าน JV กับทางธนาคารกสิกรไทย ในธุรกิจ AMC หรือธุรกิจบริหารหนี้สิน ซึ่งคาดจะเกิดขึ้นปี 2565 หลังแบงก์ชาติปรับเกณฑ์ด้านข้อบังคับและกฎหมาย   ส่งผลทำให้เกิดความคาดหวังว่าจะมีการนำสินทรัพย์รวมไปถึงเหรียญ JFC ภายในกลุ่มทำให้เกิดมูลค่า

ช่วงสัปดาห์เดียวกันราคาอยู่ที่ 62-85 บาทต่อเหรียญ และมีแรงซื้อไล่ราคาเก็งกำรไหนาแน่นดันราคาขึ้นมาทะลุ 100 บาทได้เช่นกัน (29 พ.ย. ) และราคาไปทำนิวไฮ ที่ 243 บาท  (30 พ.ย.)   หรือบวกไปถึง 300 %  ก่อนที่จะปรับตัวลงมาแรงเช่นกันภายในวันเดียวในลักษณะแห่เทขายราคามาอยู่ที่  83 บาท

ราคาทั้ง 2 เหรียญมีแรงขับเคลื่อนการเก็งกำไรสูงมากด้วยเป็นตลาดที่ผันผวนอยู่แล้ว แต่ด้านการดำเนินธุรกิจทั้ง 2 บริษัทมีสิ่งที่เหมือนกันคือการสร้างระบบนิเวศน์ทางธุรกิจ (Ecosystems)  ด้วยสินค้า บริการ ช่องทาง สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้ และกลายเป็นธุรกิจดิจิทัลสามารถตอบโจทย์และทลายข้อจำกัดบางอย่าง เช่น กฎเกณฑ์ของภาครัฐไปได้อย่างสิ้นเชิง

อนาคตการเติบโตตลาดคริปโทฯ ทั่วโลกมีมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ประมาณ 2.59 ล้านล้านดอลลาร์หรือราว 82 ล้านล้านบาท มีมูลค่าการซื้อขาย 119.76 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

หรือในไทยมีมูลค่าถึง  1,337,990  ล้านบาท  นักลงทุนเปิดบัญชี1.63 ล้านบัญชี (สิ้นเดือนก.ย.64) ซึ่งกว่าครึ่งมาจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศถึง  453,000 บัญชี  จะยิ่งเร่งให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ด้วยปริมาณและจำนวนนักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น  ส่งผลทำให้ตลาดคริปโทฯในไทยเป็นช่องทางใหม่ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงผู้ประกอบการธุรกิจต่างกระโดดเข้ามาอีกจำนวนมาก