เกษตร เคาะแผนบรรเทาแล้ง ปี 65 กำชับขึ้นทะเบียนเกษตรกรก่อนมีภัย

เกษตร เคาะแผนบรรเทาแล้ง ปี 65 กำชับขึ้นทะเบียนเกษตรกรก่อนมีภัย

เกษตรฯ เตรียม (ร่าง) แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง ปี 2564/65 พร้อมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรครอบคลุมทุกมิติ ย้ำเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร และปรับปรุงทะเบียนให้เรียบร้อยก่อนเกิดภัย

นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านเกษตร ว่า จากการคาดการณ์สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2564/65 คาดว่าจะมีแนวโน้มเกิดการขาดแคลนน้ำ หากมีการใช้น้ำในแต่ละส่วนไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ หรือมีการเพาะปลูกนอกแผนเพิ่มขึ้น

 

 ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นต่อภาคการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ จึงได้จัดทำ (ร่าง) แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้านการเกษตร ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2564/65 สำหรับใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานราชการ ในการเตรียมความพร้อม ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านเกษตร และเตรียมการให้ความช่วยเหลือ

 

โดยจะดำเนินงานให้สอดคล้องกับ 9 มาตรการ ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ใช้กรอบแนวคิด "Smart DRM for 3s : SEP - SDGs - SEDRR" มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัยแบบครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบ (ร่าง) แผนดังกล่าว และจะเสนอเข้าคณะอนุกรรมการวางแผน และติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

 

 นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร จัดส่งแผนปฏิบัติการในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสำนักแผนและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ  ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 และรายงานผลการดำเนินงานทุกวันที่ 5 ของเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2564

จากรายงานสรุปพื้นที่ประสบสถานการณ์อุทกภัยปี 2564 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ รวม 53 จังหวัด สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว 42 จังหวัด และยังมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่อีก 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสตูล

โดยสถานการณ์ในทุกพื้นที่สามารถควบคุมได้แล้ว สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ จำนวน 447 แห่ง มีปริมาณน้ำในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 59,361 ล้าน ลบ.ม. (หรือ 76% ของความจุอ่างฯ) ปริมาณน้ำใช้การได้ 35,430 ล้าน ลบ.ม. (หรือ 68% ของความจุน้ำใช้การ) และสามารถรับน้ำได้อีก 16,983 ล้าน ลบ.ม.

 

 อย่างไรก็ตาม ด้านการจัดสรรน้ำในฤดูแล้งนั้น มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการอุปโภค - บริโภค การรักษาระบบนิเวศ์ การสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝน ด้านเกษตร และอุตสาหกรรม ตามลำดับของความสำคัญ และยังได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับสถานกาณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาตใต้ กรมชลประทานจะติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น

 

 โดยทุกหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมความพร้อมในส่วนรับผิดชอบของหน่วยงาน เครื่องมือ เครื่องจักรกลพร้อมสำหรับนำออกมาใช้งานได้ทันที รวมถึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารสถานการณ์น้ำในพื้นที่ และแจ้งเตือนประชาชนให้ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

“จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเร่งรัดการสำรวจและให้ความช่วยเหลือ เยียวยา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ทุกพื้นที่ที่ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ทั่วถึง และเป็นธรรม และต้องขอเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ให้เกษตรกรดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร และปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด เนื่องจากหากไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามที่กำหนดนั้น หากเกิดสถานการณ์อุทกภัยหรือภัยพิบัติต่างๆ ต่อภาคการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชไร่ ประมง ปศุสัตว์ หม่อนไหม และสวนยาง เกษตรกรจะไม่สามารถรับการเยียวยาตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2564 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “

 

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเกษตรกรด้านพืช ได้ที่กรมส่งเสริมการเกษตร    หรือ 02-579-0121-27 ด้าน ปศุสัตว์   หรือ 02-653-4444 ต่อ 2341 ด้าน ประมง  หรือ 02-562-0600–15 กรมหม่อนไหม หรือ 02-558-7924 -6 ต่อ7410หรือ7419 การยางแห่งประเทศไทย หรือ 02 433-2222 ต่อ 222,296 หรือติดต่อที่หน่วยงานใกล้บ้านท่าน