กกพ. สุดอั้น! ขึ้นค่า FT ดันค่าไฟพุ่ง 3.78 บาท/หน่วย

กกพ. เคาะปรับขึ้นค่าเอฟที ปี 2565 แบบขั้นบันได ทยอยเพิ่มค่าเอฟทีประจำงวด ม.ค. - เม.ย. 2565 ที่ 16.71 สตางค์ รับภาวะราคาพลังงานขาขึ้น ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 รับภาวะราคาพลังงานขาขึ้น หลังตรึงค่าเอฟทีรับมือโควิด-19

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กกพ. มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ เป็นผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง นอกจากนั้นราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก ตามภาวะราคาน้ำมันขาขึ้นในตลาดโลก และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงปลายสัมปทาน

“หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กกพ. ได้ดำเนินนโยบายบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการ การลดค่าไฟฟ้า และตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร หรือเอฟทีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เบาบางลง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศเริ่มฟื้นตัว

ประกอบกับสถานการณ์วิกฤติพลังงานในต่างประเทศ ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวส่งผลให้เกิดภาวะพลังงานตึงตัว (Energy Crisis) เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนี้ จึงเป็นเหตุทำให้ค่าเอฟทีในงวดเดือนม.ค.- เม.ย. 2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนกันยายน 2564 ในการประมาณการ) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 48.01 สตางค์” นายคมกฤช กล่าว

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือนม.ค.-เม.ย. 2565 ประกอบด้วย

1.ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. 2565 เท่ากับประมาณ 65,325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือนก.ย.- ธ.ค.2564) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,510 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.26

 

3.ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือนม.ค.-เม.ย. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือนก.ย.-ธ.ค. 2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณการในรอบเดือนก.ย.- ธ.ค.2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่

4.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1-30 กันยายน 2564) เท่ากับ 33.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายคมกฤช กล่าวว่า จากการประชุม กกพ.ล่าสุด กกพ. ห่วงใยสถานการณ์ราคาพลังงานที่แพงขึ้นอย่างมาก และเป็นห่วงถึงผลกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้พลังงานเป็นวงกว้าง และได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมด มาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมาร์ จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท รวมเป็นเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft ทั้งหมด 18,640 ล้านบาท

ตลอดจนได้พิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมด้วยแล้ว ยังคงทำให้ค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.18 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 22.50 สตางค์ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก

ดังนั้น กกพ. จึงได้พิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีโดยทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีแบบขั้นบันได โดยในงวดเดือนม.ค.- เม.ย.2565 จะเพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15.32 สตางค์ ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป

กกพ. ยังคงติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคาดหวังว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และราคาเชื้อเพลิงยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้บ้าง หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวซึ่งมีปริมาณความต้องการ การใช้ก๊าซธรรมชาติสูง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทานน้ำมันในตลาดให้ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาพลังงานระยะต่อไป ยังคงมีความผันผวน และเป็นแนวโน้มขาขึ้น ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายสัมปทาน จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งการประหยัดใช้พลังงาน กกพ. จะดูแลค่าไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้อย่างราบรื่นและมีความสมดุล

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 ทางเวบไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป