ธุรกิจขยับ! รับ "เปิดประเทศ" แนะบทเรียน "โควิด" หันเจาะตลาดใหม่

ธุรกิจขยับ! รับ "เปิดประเทศ" แนะบทเรียน "โควิด" หันเจาะตลาดใหม่

กว่า 2 สัปดาห์ที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่รายวันของไทยอยู่ใน “ขาลง” ต่ำกว่า 10,000 คน เป็นปัจจัยบวกส่งผลต่อนโยบาย “เปิดประเทศ" ตั้งแต่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา สร้างความเชื่อมั่นดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติเสริมแรงการจับจ่ายภายในประเทศ

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวดีขึ้น ภาคธุรกิจเองก็เริ่มคึกคัก! โดยตามคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ตั้งแต่ พ.ย.-ธ.ค.2564 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 300,000 คนต่อเดือน และมีแนวโน้มได้เห็นจำนวน 6-10 ล้านคนในปี 2565

“หอการค้าไทยแสดงจุดยืนมาตลอดว่าชีวิตและความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญ แต่เรื่องปากท้องก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน จึงมองว่าต้องนำแนวคิด ‘ความเสี่ยงที่ยอมรับได้’ (Acceptable Risk) มาใช้ การตัดสินใจเปิดประเทศของรัฐบาลจึงถือว่าทำถูกแล้ว โดยมีการเร่งกระจายวัคซีนเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประเทศ ทั้งนี้หอการค้าไทยเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการระบาดซ้ำระลอกใหม่จนเป็นเหตุให้ต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง ยกเว้นจะเกิดการระบาดของสายพันธุ์ใหม่”

กลินท์ สารสิน ประธานอาวุโสหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับ “บทเรียน” หลายเรื่องจากวิกฤติโควิด-19 จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ 2-3 รอบตั้งแต่ต้นปี 2563 หากมีการระบาดซ้ำรอบใหม่ในอนาคต มองว่า “ อย่าเหมาเข่ง ! ” หากจะล็อกดาวน์ก็ขอให้ปิดเฉพาะพื้นที่หรือกิจกรรมที่มีการระบาดเท่านั้น ถ้าล็อกดาวน์ทั้งหมดอีกครั้ง เศรษฐกิจไทยจะไปไม่ไหว !!

“หลังจากเปิดประเทศ 1 พ.ย.2564 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของนักท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศ ช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งมีห่วงโซ่คุณค่ายาวและมีผู้คนเกี่ยวข้องจำนวนมากฟื้นตัวต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคท่องเที่ยวไทยคงกลับไปพึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากถึง 40 ล้านคนเหมือนปี 2562 ไม่ได้แล้ว ซึ่งพบการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวใน 7-8 เมืองหลักจนเกิด “ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง” (Over Tourism) เพราะโควิด-19 ได้เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรม ทำให้คนหันมาเที่ยวแบบกลุ่มเล็กมากขึ้น เป็นกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน และกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (F.I.T.) จึงจำเป็นต้องมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยหอการค้าฯ จะร่วมพัฒนาสินค้าและบริการในแต่ละจังหวัด พร้อมดึงคนรุ่นใหม่ และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย และเฟ้นแหล่งท่องเที่ยวใหม่แบบ “อันซีน” (Unseen) มาดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม

 

นิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากสถิตินักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางเข้าไทย 3 วันแรกของแผนเปิดประเทศฯ ตั้งแต่วันที่ 1-3 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าวันที่ 1 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 2,400 คน วันที่ 2 จำนวน 2,088 คน และวันที่ 3 จำนวน 1,833 คน

โดย 4 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศเยอรมนี รองลงมาเป็นสหราชอาณาจักรสหรัฐ และญี่ปุ่น เดินทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิมากเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยสนามบินภูเก็ต และสนามบินดอนเมือง ที่มีบ้างประปราย ขณะที่ตัวเลขวานนี้ (4 พ.ย.) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกระโดดที่สนามบินเชียงใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สนใจมาตีกอล์ฟใน จ.เชียงใหม่

ทั้งนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มกอล์ฟจากเอเชีย ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ ททท.ตั้งเป้าดึงมาเที่ยวไทยช่วงนี้ ร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขณะเดียวกันจะมีการทำตลาดร่วมกับบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agents : OTAs) เสนอขายแพ็คเกจท่องเที่ยวแบบมัดรวม (Bundle Package) ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้บริการท่องเที่ยวอย่างครบถ้วน

“ช่วงนี้คณะผู้บริหาร ททท.อยู่ระหว่างเดินสายโปรโมทการเปิดประเทศในงานมหกรรมส่งเสริมการขายสินค้าท่องเที่ยวระดับโลกและงานอีเวนท์ต่างๆ เช่น งานเวิลด์ ทราเวล มาร์เก็ต (WTM) 2021 ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 1-3 พ.ย.ที่ผ่านมา ในรูปแบบ Live Event ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากนั้นจะเดินทางไปโปรโมทการเปิดประเทศต่อเนื่องในงานเวิลด์เอ็กซ์โป ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจะมีการจัดอีเวนท์ไทยแลนด์เดย์”

สำหรับพื้นที่ “หัวหิน” และ “ชะอำ” ซึ่งตนเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากสถิติเมื่อปี 2562 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 1.5 ล้านคน แบ่งเป็นในพื้นที่หัวหินประมาณ 1 ล้านคน และพื้นที่ชะอำ 5 แสนคน โดยหลังจากเปิดประเทศคาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่กลับมาเที่ยวหัวหินและชะอำ ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลที่หนีหนาวเข้ามา น่าจะฟื้นตัว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 และคาดว่าในไตรมาส 1 ปี 2565 จะฟื้นตัวเพิ่มเป็น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2562

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์