ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

ธุรกิจ กระทุ้งรัฐเร่งจัดโรดโชว์โปรโมทประเทศไทยปลอดภัยจุดพลุการท่องเที่ยวดึงต่างชาติเข้าประเทศ ชงยกเว้นวีซ่าคนจีนเข้ามาช่วยพยุงภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

แนวทางการฟื้นฟูประเทศไทยยังคงภารกิจเร่งด่วนของภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วนในการร่วมด้วยช่วยกัน! บนเวที “BOOST UP THAILAND 2022” ของมติชน นักธุรกิจสะท้อนมุมมองต่อการเดินหน้าเปิดประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การท่องเที่ยวถือเป็นเซ็กเตอร์สำคัญ! ที่รัฐบาลต้องดูแลอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งก่อนวิกฤติโควิด-19  ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนสูง 40 ล้านคน แต่หลังโควิด การที่ตัวเลขจะกลับไประดับนั้นค่อนข้างลำบาก 

เพราะไม่เฉพาะสถานการณ์โควิดเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยแวดล้อมทั้งเรื่องของโลจิสติกส์ ความพร้อมของสายการบินเป็นอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาต่างได้รับผลกระทบ  ทำให้แนวโน้ม “การเดินทาง” ยากขึ้น แม้จะมีการบริหารจัดการโควิดดีแล้วก็ตาม

“อยากเห็นรัฐบาลทำโรดโชว์การท่องเที่ยวมากขึ้น โปรโมทประเทศไทยปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวเพราะเราพร้อมอยู่แล้ว รวมทั้งมาตรฐานสาธารณสุขไทย อาหารการกิน การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวจะเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีที่สำคัญของไทย ท่ามกลางหลายประเทศที่เริ่มฟื้นตัว ฉะนั้นต้องเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดนักท่องเที่ยวหลัก "จีน" ยังไม่เปิดประเทศ ดังนั้นต้องเบนเข็มดึงทัวริสต์จากประเทศ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ อย่างกลุ่มต้องการมาพักอาศัยระยะยาว ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายดึงมาใช้จ่ายเดือนละแสนบาท! หรืออย่างน้อยปีละ 1 ล้านบาทต่อคน จะทำให้ไทยมีรายได้ครึ่งหนึ่งจากตัวเลขนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนก่อนโควิด

โดยรัฐบาลต้องออกมาตรการทางด้านภาษีและวีซ่าระยะยาวออกมารองรับ อย่างไรก็ดี ไม่ควรโฟกัสกลุ่มไฮเอนด์เพียงอย่างเดียวเพราะตลาดขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางล่าง จึงไม่ควรละทิ้งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

เศรษฐา เสนอว่า ให้ยกเว้นวีซ่าคนจีน ซึ่งเป็นชาติที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากที่สุด เช่นเดียวกับคนไทยไปญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมาง่ายขึ้น เมื่อรัฐบาลจีนอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้ จะทำให้ไทยได้เปรียบ

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

“ไม่กลัวเรื่องนักท่องเที่ยวจีนทะลัก ผมกลัวไม่ทะลักมากกว่า ส่วนแง่ความปลอดภัยจากมิจฉาชีพก็อาจมีมาตรการมาควบคุม ดูแล เช่น คนจีนที่เคยมาไทยในช่วง 5 ปี ไม่ต้องขอวีซ่าใหม่สามารถเข้ามาได้ เพื่อเข้ามาช่วยพยุงภาคอุตสหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ระหว่างที่มาตรการระยะยาวที่รัฐบาลกำลังออกมา”

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า ความเสี่ยงสำคัญคือการกลับมาระบาดของโควิดระลอกใหม่! แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่หากเราเรียนรู้ที่อยู่กับโควิดได้เชื่อว่าไม่น่าเป็นห่วงมากนัก 
 

หากแต่ประเด็นหลักที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น จำเป็นต้องมีมาตรการที่จับต้องได้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศไทย เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนรอคอยอยู่ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังพึ่งพาภาคเกษตรกรรมอยู่ จึงอยากเห็นรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือชาวนา ชาวไร่ในช่วงที่เปราะบางนี้อย่างเร่งด่วน

อย่างแรกที่รัฐบาลควรทำและได้ทำแล้ว คือ การขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น70% เป็นจุดเริ่มต้นกระแสเงินสดของประเทศสำคัญที่สุดหากกู้เงินมาได้จะสามารถนำเงินนี้มาช่วยประชาชนที่เดือนร้อน แม้หลายคนมองว่าเป็น “ประชานิยม” แต่ก็ต้องทำเพราะช่วยคนเดือดร้อนให้มีกินมีใช้ เพิ่มกำลังซื้อ ลดค่าใช้จ่าย

“หากเปรียบประเทศไทยเป็นทีมฟุตบอลช่วงเวลานี้ควรเล่นเกมบุกเต็มที่! เช่นเดียวกับ แสนสิริ เมื่อเห็นสัญญาณเปิดประเทศกลับมาค้าขายได้ปกติ เราขยับตัวเรื่องการซื้อที่ดินและการลงทุนต่อเนื่อง วันนี้ต้องบุกแล้ว เพราะสัญญาณต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นไม่ว่าสถานการณ์โควิด”

นอกจากนี้ รัฐต้องมองหารายได้เข้ามาเพิ่มจากการจัดเก็บภาษีให้ถูกจุด เช่น ภาษีความมั่งคั่ง  ภาษีมรดกที่น่าจะต้องพิจารณาใม่ มาตรการทางการเงินการคลังที่จะนำมาซึ่งความเท่าเทียมในสังคม 

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า การท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากฟุบมานาน 2 ปี  จะยังไม่เห็นผลในทันทีภายในไตรมาส 4 หรือไตรมาสแรกปี 2565

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังเผชิญปัญหาและความท้าทายที่ต้องแก้ต่อไป จาก “การเปิดประเทศ” และต้องอยู่กับโควิดให้ได้เป็นสเต็ปแรกของการฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย

“ยุคหลังโควิด การท่องเที่ยวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราคงไม่เห็นภาพของกองทัพนักท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวแบบทัวร์ลดลงจากการวิจัยของ ททท. พบว่า นักท่องเที่ยวจะเดินทางกับคนที่ไว้ใจ เลือกเดินทางเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หลีกเลี่ยงการรวมตัวในกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากและใช้ดิจิทัลวางแผนการเดินทางมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากโควิด”

ทั้งนี้ กลุ่ม ดิจิทัลโนแมด (digital nomad) หรือ คนรุ่นใหม่ ที่ทำงานจากระบบออนไลน์ ชมชอบวิถีเที่ยวไป ทำงานไป จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การท่องเที่ยวไทยจะไม่เน้นเรื่องปริมาณอีกต่อไป แต่จะโฟกัสที่ “ตัวเลขรายได้” จาก 15-20% ของจีดีพี จะพยายามรักษาตัวเลขนี้ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลงถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ของการท่องเที่ยวไทย

“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังโควิด ต้องมีภูมิต้านทาน นั่นคือ กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 30% ของรายได้ขยับมาที่ 40-45% ที่ผ่านมารัฐได้ออกมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อช่วยกระตุ้นซัพพลายไซด์ให้หายใจได้ดีขึ้น”

ทิศทางการท่องเที่ยวเน้นการท่องเที่ยวเชิงอาหารมากขึ้น เพราะการใช้จ่ายเรื่องอาหารคิดเป็นสัดส่วน 30% เป็นโอกาสที่เชื่อมโยงภาคเกษตรที่สร้างมูลค่าเพิ่ม! รวมทั้งสินค้าเชิงบริการเกี่ยวกับเวลเนส บริการทางการแพทย์ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตหลังโควิด กลุ่มสปอร์ตทัวริซึ่ม ดึงกลุ่มคนเล่นกอล์ฟ ล่าสุดเจาะชาวเกาหลีเล่นกอล์ฟนั่งชาร์เตอร์ไฟลท์เข้ามาเชียงใหม่ เพื่อไปเล่นกอล์ฟที่ลำพูน ทุกวันศุกร์ ไฟลท์ละ 100 คน

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

ศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสถาบันอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มองว่า “ไทยมีพื้นฐานที่ดีด้านการเกษตร โอกาสของประเทศไทยยังมีอยู่โดยต้องผลักดัน โลคัลอีโคโนมี พัฒนาเกษตรแบบดั้งเดิม ให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ หรือ สมาร์ทฟาร์มมิ่ง พลิกการเกษตรไทยให้เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ภายใต้เป้าหมายเกษตรปลอดภัย”

ธุรกิจกระทุ้งรัฐจุดพลุแคมเปญปลุกศก.โปรโมทไทยปลอดภัย!ดึงทัวริสต์

ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งผลักดันเกษตรปลอดภัย ให้เป็น "วาระแห่งชาติ“ โดยบูรณาการหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ทำงานร่วมกันเพื่อปฏิวัติภาคการเกษตรไทยอย่างจริงจัง ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้นด้วยการใช้เกษตรแม่นยำ รวมทั้งการพัฒนาโปรตีนทางเลือกจากพืชและแมลง คาดภายใน 2-4 ปี ไทยจะติดอันดับ “ท็อป 10” ส่งออกสินค้าเกษตรโลกได้