แนวโน้มธุรกิจที่อาจเป็นตัว disrupt กลับเข้าสู่ระบบนิเวศน์ของธนาคาร

SCB เข้าซื้อหุ้น 51% ใน Bitkub มูลค่า 17,850 ล้านบาท ซึ่งเป็นดีลที่น่าสนใจมาก เมื่อพิจารณาจาก Valuation ที่ PER ประมาณ 18 เท่า และ P/S ที่ประมาณ 8 เท่า (อิงจากรายได้ และกำไร 9 เดือนที่ 3,279 ล้านบาท และ 1,533 ล้านบาท)
ขณะที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 92% เรามองสาเหตุที่ SCB ตัดสินใจเข้าซื้อเนื่องจาก 1) Bitkub เป็นผู้เล่นรายใหญ่ของการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ที่มีโอกาสเติบโตมากกว่านี้ หากมีการกำกับดูแลที่ดีที่ทำให้ผู้ลงทุนแพลตฟอร์มต่างประเทศเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มในประเทศ 2) ความสามารถในการทำกำไรที่สูง แม้ปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของ Bitkub ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาคิดเป็น 6.5% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นไทย (มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อสำนักงานก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท เทียบกับปริมาณซื้อขายหุ้นไทยที่ 16.43 ล้านล้านบาท) แต่กำไรของ Bitkup สูงกว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดใกล้กัน และใกล้เคียงบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1-2 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1-2 (รวมกำไรธุรกิจวาณิชธนกิจ) แต่ถ้ามองเฉพาะกำไรจากค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ผลการดำเนินงานของ Bitkub จะสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ 3) ราคาซื้อขายไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโต รวมถึงโอกาสในการซื้อขายสินทรัพย์และธุรกรรมดิจิทัลใหม่ๆ 4) ฐานลูกค้าของ Bitkub มีความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงที่สูงกว่าฐานลูกค้ารวมของ SCB ทำให้ไม่ซ้อนทับกับฐานลูกค้าปัจจุบัน 5) ฐานลูกค้าของ Bitkub มีความสามารถในการพึ่งพาตัวเองสูง และต้องการการดูแลต่ำ หรือมีโมเดลธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม ซึ่งขยายตัวได้เร็ว และมีต้นทุนส่วนเพิ่มน้อย ขณะที่การขายสินทรัพย์ทางการเงินในปัจจุบันต้องผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ (RM) หรือที่ปรึกษาการลงทุน (IC) ที่มีต้นทุนสูงกว่า และการเพิ่มขนาดธุรกิจ (scale up) ทำได้ยากและช้ากว่า 6) การรุกเข้าสู่ธุรกิจที่มีเทคโนโลยีที่มีโอกาสเป็นคู่แข่งกับธนาคารและสถาบันการเงินในอนาคต จะทำให้ลดความเสี่ยงที่ธนาคารจะถูก disrupt ลดลง
ธนาคารขนาดใหญ่มีแนวโน้มซื้อขาย PBV ที่สูงขึ้น แนวโน้มการดึงธุรกรรมที่เคยกังวลว่าจะหลุดจากระบบของธนาคารผ่านเทคโนโลยีแบบกระจายจากศูนย์กลาง (decentralize) กลับเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศน์ของธนาคาร (re-centralize) จะช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจในอนาคต และเป็นบวกต่อ พรีเมียมการซื้อขายของหุ้นธนาคาร ซึ่งทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการปรับตัวจะซื้อขายในระดับที่มีส่วนลด (discounted) น้อยลง ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กที่ไม่มีศักยภาพที่จะปรับตัวหรือแข่งขัน จะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันสูงขึ้น เรายังคงชอบธนาคารขนาดใหญ่ทั้ง SCB, KBANK และ BBL // ขณะเดียวกันการเข้าเป็นพันธมิตรของ SCB-Bitkub คาดจะทำให้เกิดกระแสเก็งกำไรหุ้นที่มีธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ไม่ว่าจะเป็น BROOK (ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล), JTS (ทำเหมืองขุดเหรียญดิจิทัล) และอาจรวมถึงกลุ่มไอที (อย่างไรก็ตามควรระวังผลประกอบการไตรมาส 3/64 อาจกระทบจากการส่งมอบงานไม่ได้เพราะติดสถานการณ์โควิด)
ธีมการลงทุนระยะสั้น 1) พลังงานทดแทนและรถไฟฟ้ารับ COP26 ดีกับ EA, NEX, SUPER 2) กลุ่มโภคภัณฑ์ป้องกันเงินเฟ้อ PTTEP, PTTGC, IVL, TOP 3) ผลตอบแทนพันธบัตรขยับขึ้น ซึ่งบวกกับกลุ่มธนาคารและประกัน อาทิ BBL, KBANK, SCB, BLA, TIPH, THRE (แต่อาจต้องระวังการเคลมประกันโควิด) 4) หุ้นธีมเปิดเมือง CPN, CRC, MINT, CENTEL, ERW, BA 5) เรามองทยอยสะสม สื่อสาร สาธารณูปโภค ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART, GULF, GPSC, EGCO, RATCH, EASTW, WHAUP, TTW 6) ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ได้แก่ SPALI, QH, PSH, ORI, LPN, LH, AP (ตามลำดับ) 7) เก็งกำไรทางเทคนิค EGCO, GPSC, GULF, BGRIM, CBG, PM, SGF, SIS, SYNEX, IT, SVOA, MFEC, SECURE, IRCP, BCH, CHG, BDMS
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว 1,600-1,630 จุด โดยหากประเมินหากเฟดเปิดเผยการลดการซื้อพันธบัตรที่ไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ตลาดจะมองเป็นบวก กลยุทธ์เก็งกำไรรายตัว เน้นหุ้นเปิดเมืองแถว 2 ที่ยังขึ้นน้อยอย่างนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มปลอดภัยและ Laggard มีโอกาสเป็นที่พักเงิน //หุ้นแนะนำ: NEX*, KBANK*, BDMS*, WHA*
แนวรับ: 1,605 / แนวต้าน : 1,620-1,635 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
ศบค.ขีดเส้น 15 วัน จ่อคลายล็อกเพิ่ม- ศบค.ขอเวลา 15 วัน ประเมินผลเปิดประเทศ ก่อนพิจารณาคลายล็อก เพิ่มกลาง พ.ย. "สถานบันเทิง-ผับบาร์"
สรท.คาดส่งออกทะยาน 12% - สรท.เปิดเผยว่าได้ประเมินการส่งออกไทยปีนี้คาดว่าขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 12% เนื่องจากฐานในปี 63 ต่ำ
กฟผ.COD โซลาร์เขื่อนสิรินธร เดินหน้าเปิดประมูลอีก 15 โครงการ –หลัง COD โซลาร์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร ขนาด 45 เมกะวัตต์แล้ว จ่อคิวเปิดประมูลโครงการเขื่อนอุบลรัตน์ ขนาด 24 เมกะวัตต์เร็วๆ นี้
ประเด็นติดตาม: - 3 พ.ย. – Crude oil inventories / 4 พ.ย. – US: FOMC meeting / 5 พ.ย. – TH CPI เดือน ต.ค. / 11 พ.ย. – TH: MSCI Rebalancing
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)







