ดาวรุ่งหุ้นชิ้นส่วนฯ ยังโกยกำไร รับเทรนด์ใหญ่ไฮเทคโนโลยี

ดาวรุ่งหุ้นชิ้นส่วนฯ ยังโกยกำไร รับเทรนด์ใหญ่ไฮเทคโนโลยี

หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ถูกยกให้เป็นหุ้นที่ตอบรับทั้งช่วงระบาดและหลังระบาดโควิด-19 จนทำให้กำไรและราคาหุ้นตอบรับมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2563-2564) ซึ่งธีมใหญ่ที่รอในอนาคต(อันใกล้)ของหุ้นกลุ่มนี้น่าดึงดูดการลงทุนได้อีกแค่ไหน

            ย้อนกลับไปช่วงการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จนปิดเมือง 2 เดือนมีผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว เนื่องจากเป็นฐานการผลิตของบริษัทจากทั่วโลกรวมทั้งบริษัทสัญชาติจีนเป็นซัพพรายเชนให้กับ อุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยีผลกระทบดังกล่าวส่งมายังธุรกิจในไทยตามไปด้วย เนื่องจากหลายธุรกิจเป็นคู่ค้าที่สำคัญ 

ตามมาด้วยการล็อกดาวน์ในประเทศไทย  มีการทำงานและเรียนออนไลน์ ทำให้มีความต้องการเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์  การเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นทันที  จนนำไปสู่การขาดแคลนซิป จากการประสบปัญหาการขนส่งหยุดชะงัก

ดังนั้นหนุนหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ กลายเป็นดาวเด่นในช่วงปี 2563 มาอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งรายใหญ่ในกลุ่มนี้ยกให้  บริษัท เดลต้า  อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA   ,บริษัท เคซีอี  อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE  ,บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA  และ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI   

สะท้อนได้จากตัวเลขการเติบโตของกำไรในภาวะการระบาดของโควิดกลับทำตัวเลขนิวไฮและเติบโตแบบก้าวกระโดด  โดยเฉพาะ DELTA ที่กำไรปี 2563 เพิ่มขึ้น 163 %   จากการปรับลดต้นทุนธุรกิจในเครือและเมื่อผนวนกับสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของราคาหุ้นร้อนแรงสุดขีดทะลุ 800 บาทเป็นครั้งแรก

กระแสหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนฯ กลับมาร้อนแรงอีกครั้งในปี 2564  จากการทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อดดาวน์จนไปถึงการเปิดเมือง เปิดกิจกรรมของหลายประเทศ รวมไปถึงการเข้าสู่เทรนใหญ่ของโลกอนาคต อย่าง ยานยนต์อีวี และการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล จนกลายเป็นการดิสรัปชั่นอีกครั้ง

หุ้นชิ้นส่วนฯไม่พลาดเทรนดังกล่าวประกาศเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง DELTA  ปรับธุรกิจเข้าสู่สินค้าและบริการดิจิทัลเต็มตัว พร้อมกับลดต้นทุนโรงงานที่ซ้ำซ้อนและกำไรน้อยออกจากธุรกิจตั้งแต่ปี 2562 ด้วยการตัดขายบริษัทย่อยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ และเน้นฐานการผลิตในกลุ่มเอเชียเป็นหลัก  ทำให้ลดต้นทุนและหันมาสร้างมาร์จิ้นมากขึ้น 

ด้วยผลกระทบจากการปรับเกณฑ์ฟลีโฟลต ส่งผลทำให้หุ้น DELTA ลดความร้อนแรงของราคาหุ้นลงไป ในปี 2564 (ต.ค.) ราคาหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบ 14 % พร้อมกับการคาดการณ์กำไรปี 2564  เติบโตลดลง แม้ว่าด้านธุรกิจบริษัททยอยประกาศเพิ่มธุรกิจผลิตที่ชาร์ทไฟสำหรับรถอีวีที่รองรับการเติบโตในอนาคต  

HANA  ได้ลงทุนบริษัท เพาเวอร์ มาสเตอร์  เซมิคอนดักเตอร์ จำกัด (PMS) ในเครือบริษัทที่เกาหลีใต้เพิ่มกลายเป็น 100 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) และ SiC power devices ซึ่งใช้งานในยานยนต์ไฟฟ้า   และคลาวด์ คอมพิวเตอร์  ผู้บริหารคาดว่า ยอดขายของธุรกิจ PMS ในปี 2565 – 2568  จะเติบโตจากกระแสการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและบริการ Foundry  โดยในระยะแรกจะเน้นการขยายตลาดในจีนและเกาหลีใต้ซึ่ง HANA มีความได้เปรียบ และมีอัตราการใช้ EV ที่สูง  ส่งผลทำให้ราคาปี 2564 ให้ผลตอบแทน 101.26% และคาดกำไรปี 2564 อยู่ที่ 2,360 ล้านบาท

ดาวรุ่งหุ้นชิ้นส่วนฯ ยังโกยกำไร รับเทรนด์ใหญ่ไฮเทคโนโลยี สำหรับ KCE     เป็นบริษัทผลิตและส่งออก 100 % แผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์  หรือที่เรียกว่า   PCB   ซึ่งถือได้ว่าติดอันดับต้นๆ ของโลกกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มยานยนต์ 80 % รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต  12.5 %  และยังมีสินค้าโภคภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร   ซึ่งด้วยการแข่งขันที่สูงเพราะด้วยผู้เล่นในตลาดต่างชาติถึง 2,000 กว่ารายทำให้บริษัทหันไปขายสินค้าที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น

อานิสงค์จากตลาดยานยนต์ในยุโรป  ความต้องการอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และการขนส่งที่มีปัญหาจากการขาดแคลนตู้ขนเทนเนอร์ทำให้มีคำสั่งซื้อมาล่วงหน้าลากยาวไปจนถึงปลายปี 2564  ทำให้ KCE สามารถปรับราคาขายขึ้นได้ตามความต้องการที่ล้น ส่งผลทำให้ราคาปี 2564 ให้ผลตอบแทน 109.64% คาดกำไรปี 2564 อยู่ที่ 2,400ล้านบาท

สุดท้าย SVI ที่อยู่ในกลุ่มสินค้าเซมิคอนดัคเตอร์โดยตรง เช่นวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์  เข้าซื้อหุ้น 'โทโฮกุ ไพโอเนียร์ (ประเทศไทย) ' เพื่อบริหารต้นทุนอุปกรณ์ต้นน้ำสำหรับการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

เพื่อลดต้นทุนจากการนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งจากประเทศจีน ประเทศมาเลเซียและประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและความเสี่ยงด้านซัพพราย  จะทำให้เพิ่มกำไรขั้นต้น 2-3 %  ที่ผ่านมาราคาหุ้น SVI เพิ่มขึ้น 30.84 % และคาดการณ์กำไรปี 2564 อยู่ที่ 693 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย  วิเคราะห์แนวโน้ม Auto and EV related sectors ในไทยที่จะมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคและลงทนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลจะประกาศในช่วงปลายปีก่อนบังคับใช้ในปี 2565  ในส่วนภาษีสรรพสามิตร, การซัพพอร์ตเป็นเงินก้อนให้กับคนซื้อโดยตรง หรือให้นำไปลดหย่อนภาษี , มาตรการที่สนับสนุนการนําเข้ามาจําหน่ายในประเทศในช่วงแรกผลผลิตที่ยังออกมาไม่มาก  , และการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อตั้งโรงงานในประเทศ

นอกจากนี้ราคาหุ้น  EV car ในต่างประเทศทยอยทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จะหนุนแรงเก็งกําไรหุ้นที่เกี่ยวข้องในตลาดหุ้นไทย ได้แก่  กลุ่มผู้ผลิตแบตเตอร์รี่ลิเทียมไอออน  (DELTA, EA, GPSC, BANPU, BPP และ BCPG)

ผู้ให้บริการสถานีชาร์ทยานยนต์ไฟฟ้า (PTT, OR, BCP, CPALL, FORTH, EA และ DELTA), ผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ (EPG, TKT, FPI, PACO, AH, HFT, PCSGH  และ TRU), ผู้ผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, HANA, DELTA) และผู้ประกอบรถโดยสาร   EV Car (NEX, CHO, CWT และ EA)