สัมปทาน BEM พ่นพิษกทพ.พลิกขาดทุน 6.75 หมื่นล้าน

สตง. จี้ บอร์ด ผู้ว่ากทพ. แก้ไขงบการเงินให้ใส่มูลหนี้ข้อพิพาทต่อสัมปทานทางด่วน 2 สัญญาให้ BEM รวมเข้าไปด้วย ทำกทพ.พลิกขาดทุนทันที 6.75 หมื่นล้าน จากกำไร 6,420 ล้านบาท

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำรายงานตรวจสอบงบการเงินของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ถึงคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ดกทพ. โดยขอให้มีเปลี่ยนแปลงการแสดงฐานะการเงินให้ถูกต้อง สืบเนื่องจากสตง.ได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงินของกทพ. ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 พบว่ากทพ.ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเพียงพอ และไม่ใส่รายการรับรู้ทางบัญชีการลงนามแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) ที่กทพ.ต่อสัมปทานให้ 15 ปี 8 เดือน ให้กับบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ที่มีผลตั้งแต่ 28 ก.พ. 2563 เพื่อยุติ 17 ข้อพิพาทที่ยังไม่ได้ข้อสรุป

ทั้งนี้ สตง.เห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลของกทพ.เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาของสัญญาฉบับแก้ไขไม่เพียงพอ ซึ่งกทพ.จะต้องปรับปรุงงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2563 ให้ถูกต้อง ตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน โดยใช้สมมุติฐานมูลหนี้ข้อพิพาทจำนวน 78,461 ล้านบาท เป็นจำนวนหนี้ที่กทพ.พิจารณาใช้ประกอบการเจรจายุติข้อพิพาทและเพื่อกำหนดจำนวนปีที่เหมาะสมในการขยายระยะเวลาสัญญาจะมีผลกระทบที่สำคัญ คือ

1.งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 ต้องแสดงรายการรอการรับรู้ จากการให้สิทธิคู่สัญญาได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางตามสัญญาแก้ไขเพื่อยุติคดีความและข้อพิพาทเป็นจำนวนเงิน 73,992.11 ล้านบาท และ2. งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2563 ต้องแสดงค่าใช้จ่ายภาระหนี้คดีความและข้อพิพาทจำนวนเงิน 73,992.11 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของกทพ.จากกำไรสุทธิ 6,420.96 ล้านบาท เป็นขาดทุนสะสม 67,571.15 ล้านบาท

 แหล่งข่าวจากกทพ. กล่าวว่า ขณะนี้ทางบอร์ดกทพ. และผู้ว่ากทพ. ยังไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงงบบัญชีแสดงฐานะเป็นขาดทุนตามที่สตง. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สั่งให้ดำเนินการ ซึ่งกรณีควรต้องหาผู้รับผิดชอบ เพราะการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้ BEM ที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรงคมนาคม เสนอครม. และครม.เห็นชอบ เมื่อช่วงเดือนก.พ. 2563 ได้ยืนยันว่าการต่อสัมปทานให้ BEM ทางกทพ.จะไม่ขาดทุนทางบัญชีแต่อย่างใด เท่ากับว่าการต่อสัมปทานครั้งนี้ กทพ.เสียประโยชน์จากการต้องแบกรับหนี้จากข้อพิพาทที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน  และขณะนี้มีการถอนคดีความครบหมดแล้ว