‘หุ้นไทย’ ปิดตลาดวันนี้ ร่วง 13.53 จุด ไร้ปัจจัยใหม่-นักลงทุนเทขายทำกำไร

‘หุ้นไทย’ ปิดตลาดวันนี้ ร่วง 13.53 จุด  ไร้ปัจจัยใหม่-นักลงทุนเทขายทำกำไร

‘หุ้นไทย’ วันนี้ (19 ต.ค.) ปิดตลาดร่วงที่ 13.53 จุด หรือ0.82% อยู่ที่ระดับ 1,630.39 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 96,547.30ล้านบาท โบรกชี้ตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่และนักลงทุนเทขายทำกำไร มองโน้มดัชนีแนวรับ1,615-1,620 จุด แนวต้าน1,650 จุด ในช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้

ความเคลื่อนไหวตลาด ‘หุ้นไทย’ วันนี้ (19 ต.ค.) ปิดตลาดร่วงที่ 13.53 จุด หรือ0.82% อยู่ที่ระดับ 1,630.39 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 96,547.30ล้านบาท

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกหรือลบใหม่เข้ามากระทบ อย่างไรก็ดี คาดว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นมาจากการขายทำกำไร (Take Profit) ของนักลงทุน เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น Outperform ภูมิภาค รวมถึงเป็นแรงขายทำกำไรภายหลังปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,650 จุด

สำหรับแนวโน้มดัชนีในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีแนวรับที่ 1,615-1,620 จุด และแนวต้านที่1,650 จุด โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเศรษฐกิจ เพราะคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเลือก ADVANC AEONTS KBANK CPALL TOP และ CPN เป็นหุ้นเด่น

ขณะเดียวกันบล.เอเชียพลัส  ประเมินด้วยว่า  ในระยะสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสอยู่ในภาวะผันผวนได้ต่อ หลังสัญญาณการอ่อนตัวลงเศรษฐกิจจีนอาจเพิ่มความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้ รวมไปถึงการเดินหน้าลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ทั้งการลดวงเงิน QE (QE Tarping) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบัน ตลาดการเงินยังให้น้ำหนัก และคาดการว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเกิดขึ้นในปี 2565 สังเกตจาก Bond Yield สหรัฐ ทั้งระยะสั้น และระยะกลางมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ และ ASPS คาดจะส่งผลให้ Bond Yield ไทยปรับขึ้นตามไปด้วย โดยประเมินเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มในธนาคารณพาณิชย์ (KBANK, SCB) และกลุ่มประกันชีวิต (BLA)

อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดหุ้นโลกในระยะกลาง-ยาวยังยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เพราะแม้ระยะสั้นจะเผชิญความผันผวนจากประเด็นข้างต้นบ้าง แต่การลดระดับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นการตอกย้ำมุมมองว่าการเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ซึ่งจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้นได้ต่อในระยะถัดไป