ชป.ปรับแผนบริหารจัดการน้ำ หลังฝนตกหนัก ทับเสลาล้นสปิลเวย์ ต้องระบายเพิ่ม

ชป.ปรับแผนบริหารจัดการน้ำ หลังฝนตกหนัก ทับเสลาล้นสปิลเวย์  ต้องระบายเพิ่ม

ชลประทานปรับแผนบริหารจัดการน้ำ รับมือปริมาณน้ำเพิ่ม หลังฝนตกต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและตาก ขณะ ปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี มาก จนน้ำล้นสปิลเวย์ ต้องเปิดประตู3บานเพิ่มการระบายน้ำ

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดฝนตกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง โดยวัดปริมาณฝนสะสม 3 วัน ที่อ.เมือง จ.ตาก ได้ 169.4 มิลลิเมตร และที่ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร วัดปริมาณฝนได้ 70.8 มิลลิเมตร ซึ่งปริมาณน้ำนี้จะไหลลงมาที่แม่น้ำปิงและรวมกับแม่น้ำน่าน ที่ จ.นครสวรรค์  คาดการณ์ว่าที่ สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตราประมาณ 2,700 -2,800 ลบ.ม./วินาที ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันที่ 19 ต.ค. 64

 

ชป.ปรับแผนบริหารจัดการน้ำ หลังฝนตกหนัก ทับเสลาล้นสปิลเวย์  ต้องระบายเพิ่ม

เมื่อรวมปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง และจาก Side flow รวมกันประมาณ 500 ลบ.ม./วิ จะส่งผลให้มีปริมาณน้ำที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา ทั้งสิ้นประมาณ 3,200-3,300 ลบ.ม./วินาที  เพื่อเป็นการควบคุมการระบายน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

 

กรมชลประทาน จึงได้ปรับแผนการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง โดยจะปรับเพิ่มการรับน้ำเข้าฝั่งตะวันตกลงแม่น้ำน้อยผ่าน ประตูระบายน้ำบรมธาตุ และฝั่งตะวันออก จะปรับเพิ่มการรับน้ำเข้าคลองชัยนาท- ป่าสัก ผ่านประตูระบายน้ำมโนรมย์ โดยจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ พร้อมหน่วงน้ำไว้เหนือเขื่อนเจ้าพระยา โดยควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในระดับไม่เกิน +17.50 ม.  และควบคุมการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไว้ไม่เกิน 2,700 ลบ.ม./วิ

 

ด้านสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำป่าสัก เนื่องจากมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนป่าสักฯ อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ในอัตรา 600 ลบ.ม./วิ โดยจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดเพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ และรักษาเสถียรภาพของตลิ่ง พร้อมบริหารจัดการน้ำด้านท้ายเขื่อน ด้วยการควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหก ไม่ให้เกิน 700 ลบ.ม./วิ  รวมทั้งผันน้ำเข้าสู่ คลองระพีพัฒน์ ผ่านประตูระบายน้ำพระนารายณ์ ในอัตรา 100-150 ลบ.ม./วิ  และจะพิจารณาปรับการระบายน้ำตามสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน และความมั่นคงของอาคารชลประทาน เป็นหลัก

 

ทั้งนี้ ได้กำชับไปยังโครงการชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ  รถแบ๊คโฮ  เพื่อเสริมศักยภาพในการระบายน้ำออกจากพื้นที่  พร้อมตรวจสอบอาคารชลประทาน ให้พร้อมใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ ดำเนินการเสริมคันกั้นน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาบริเวณริมแม่น้ำที่มีระดับต่ำหรือเสี่ยงที่จะมีน้ำล้นตลิ่ง เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด หากต้องการความช่วยเหลือติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้านหรือโทร.สายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา

นายสงกรานต์ ชลอศรีทอง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทับเสลา ออกประกาศโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทับเสลา สถานการณ์น้ำในฤดูฝนปี 2564 ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา เรื่อง สถานการณ์น้ำในเขื่อนทับเสลา

 

เนื่องจากอิทธิพลของพายุไลออนร็อค และพายุคมปาซุ ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.64 ถึงปัจจุบัน มีปริมาณไหลเข้าเขื่อนทับเสลาไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยามีประกาศแจ้งเตือนจังหวัดอุทัยธานีว่า เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงภัยฝนตกหนักถึงหนักมากตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.64 เวลา 18.00 น. ถึงวันที่ 17 ต.ค. 64 เวลา 18.00 น.

 

วานนี้ 17 ต.ค.64 เวลา 12.00 น. ‘เขื่อนทับเสลา’ มีปริมาณน้ำ 173.82 ล้าน ลบ.ม.  คิดเป็น 108.64% ของความจุอ่าง มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนฯ อัตราวันละ 13.30 ล้าน ลบ.ม. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทับเสลา จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำผ่านอาคารระบายน้ำลงลำน้ำเดิม (River Outlet) จากเดิมวันละ 3.72 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำเพิ่มขึ้นวันละ 7.08 ล้านลบ.ม. และมีปริมาณน้ำไหลล้นอาคารระบายน้ำฉุกเฉิน (Emergency Spillway) วันละ 9.44 ล้าน ลบ.ม.

 

 ดังนั้นจึง แจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ริมคลองทับเสลา (เขื่อนระบำ) ทั้ง 2 ฝั่ง บางส่วนอาจจะมีน้ำท่วมหลากฉับพลัน ตั้งแต่

อำเภอลานสัก อำเภอหนองฉาง  อำเภอเมืองอุทัยธานี  โดยโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาทับเสลา จึงแจ้งเตือนส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนประชาชนด้านท้ายเขื่อนทับเสลาที่อยู่อาศัยหรือมีพื้นที่ทำการเกษตรในพื้นที่ริมฝั่งลำคลองทับเสลาและลำห้วยสาขา ให้เตรียมขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูง และเฝ้าระวังพร้อมติดตามข่าวสารของทางราชการอย่างใกล้ชิดต่อไป