กินเจปีนี้กร่อย เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาทต่ำสุดในรอบ 14 ปีผลพวงจากโควิด

กินเจปีนี้กร่อย เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาทต่ำสุดในรอบ 14 ปีผลพวงจากโควิด

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ หอการค้าไทย เผย โพลล์เทศกาลกินเจปีนี้ไม่คึกคัก เงินสะพัดเพียง 4 หมื่นล้านบาทต่ำสุดในรอบ 14 ปี จากผลของโควิด และเศรษฐกิจ แนะรัฐอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 ขณะที่น้ำท่วม36 จังหวัดเสียหาย 1.5 หมื่นล้านกระทบจีดีพี เป็น 0.1-0.2 %

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวถึงผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายของประชาชนในช่วง เทศกาลกินเจ ระหว่างวันที่ 4-13 ต.ค.64  จากตัวอย่างทั้งสิ้น 1,208 ตัวอย่างทั่วประเทศว่า   ว่า จากปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา   ทำให้เทศกาลกินเจในปีนี้ไม่คึกคัก ส่งผลให้มียอดการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลเจอยู่ที่  40,147 ล้านบาท ขยายตัวติดลบ 14.5 % เมื่อเทียบกับเทศกาลกินเจในปี 63 ที่มีมูลค่า 46,967 ล้านบาท ถือว่าเทศกาลกินเจในปีนี้ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ปี 2551 ที่มีการสำรวจมา จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในหลายๆด้านอยู่ในขณะนี้

 สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่นำมาใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจ 81.9 % มาจากรายได้ประจำ รองลงมาจากเงินช่วยเหลือของภาครัฐ 7.7 %  เงินออม 4.5 %  ขณะที่รายได้พิเศษ 3.4 % ลดลงมากเมื่อเทียบกับปี63 ที่อยู่7.2 % 

กินเจปีนี้กร่อย เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาทต่ำสุดในรอบ 14 ปีผลพวงจากโควิด

ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังได้สำรวจทัศนะทั่วไปเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต  โดยส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวและจะฟื้นตัวได้อย่างปกติในครึ่งหลังปี 65   ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและรายได้ที่ลดลง แต่หนี้สินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่า สถานการณ์จะดีขึ้นจากรัฐบาลคลายล็อดดาวน์ทำให้เศรษฐกิจเริ่มคึกคัก ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่จำเป็นแต่ยังคงมีความเป็นห่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ยังไม่กล้าที่จะเดินทางท่องเที่ยวแบบทั้งไป-กลับ และแบบค้างคืน  รวมทั้งการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านน้อย ส่วนการเปิดประเทศนั้นอยากให้เปิดประเทศเพราะจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่ก็กลัวว่าจะมีการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่

สำหรับสิ่งที่ที่ประชาชนต้องการให้ภาครัฐเร่งดำเนินการหลังจากนี้ คือ เร่งการฉีดวัคซีนประชาชนที่เหลือให้มากขึ้น พร้อมเร่งหามาตรการช่วยเหลือภาคประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆอย่างต่อเนื่อง  มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการต้องการเงินเยียวยาต่ออีกและกระจายผู้ที่ได้รับมากขึ้น หาแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ กระตุ้นการลงทุน แก้ไขปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 4 ยังคงมีความจำเป็นเพื่อที่จะให้มีเม็ดเงินเข้าไปประคับประคองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการอัดฉีดเม็ดเงินในโครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน  ทั้งนี้ศูนย์ฯมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 1 %

นายธนวรรธน์ กล่าว นอกจากนี้ศูนย์ฯยังได้มีการสำรวจสถานการณ์น้ำท่วมใน 36 จังหวัด จากประธานหอการค้า รองประธานหอการค้า พบว่า  ประชาชนได้รับผลกระทบ  227,470 ครัวเรือน ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว 13 จังหวัด โดยน้ำท่วมได้ส่งผลกระต่อบ้านเรือน  ถนนหนทางและอื่นๆ กระทบด้านการเกษตร พืช ปศุสัตว์ การค้า โดยผลกระทบเหล่านี้ความเสียหายน่าจะมีมูลค่ากว่า 15,036 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.1-0.2 % ของจีดีพี โดยสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ยังไม่รุนแรงเท่ากับน้ำท่วมในปี 54 ที่กระทบต่อภาคเศรษฐกิจทั้งโรงงาน อุตสาหกรรม ระบบขนส่ง และคาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้ในเร็วๆนี้