‘เงินบาท’ วันนี้เปิด33.84บาทต่อดอลลาร์‘อ่อนค่า’สุดรอบกว่า4ปีครั้งใหม่

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด33.84บาทต่อดอลลาร์‘อ่อนค่า’สุดรอบกว่า4ปีครั้งใหม่

“กรุงไทย”ชี้เปิดตลาดวันนี้บาทอ่อนค่าสุดในรอบกว่า4เดือนที่33.84บาทต่ออดอลลาร์ ตามแนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า หลังตลาดกังวลเฟดลดคิวอี จับตาประชุมกนง.บ่ายวันนี้หากคงดอกเบี้ย ชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท ช่วงนี้ได้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ 33.75-33.95บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันนี้(29 ก.ย.) ที่ระดับ  33.84 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบกว่า4ปีและอ่อนค่าจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ  33.77 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-33.95 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เราคงมุมมองว่า  ในระยะสั้น เงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้ หลังเงินบาทอ่อนค่าและยืนเหนือแนวต้านสำคัญที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ ทำให้ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังมีโมเมนตัมหนุนการแข็งค่าอยู่นั้น เงินบาทจะขยับกรอบการแกว่งตัว โดยแนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 33.85-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า ระดับดังกล่าวจะเริ่มเห็นผู้ส่งออกมาทยอยขายเงินดอลลาร์มากขึ้น นอกจากนี้ ควรติดตามผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่ายของวันนี้ เพราะหาก กนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมกับมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปีหน้า      เรงมองว่า ภาพดังกล่าวอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทลงได้

อย่างไรก็ดี เรายังไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในตลาดจะเริ่มคลี่คลายและทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น โดยแนวรับสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ 

 

ตลาดการเงินโดยรวมยังคงเผชิญแรงเทขายสินทรัพย์ที่รุนแรง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องหรือลดคิวอี รวมถึงแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก ที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10ปี ทั่วโลกต่างปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง กดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ นอกจากนี้ โมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลง ไปพร้อมกับทิศทางเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ยังคงสร้างความกังวลแนวโน้มการเกิดภาวะStagflation (เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ แต่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง) ซึ่งผู้เล่นในตลาดการเงินมองว่า มีโอกาสที่จะเกิดภาพดังกล่าวได้ หากเศรษฐกิจจีนชะลอลงหนักจากวิกฤติหนี้ Evergrande  รวมถึงราคาสินค้าพลังงานทรงตัวในระดับสูง และปัญหาด้าน Supply-chain ที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าและต้นทุนภาคการผลิต 

นอกเหนือจากความกังวลดังกล่าวในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ หลังสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นขยายเพดานหนี้ ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ภาวะปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวของตลาดสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯNasdaq ดิ่งลง -2.8% เช่นเดียวกันกับ ดัชนี S&P500 ที่ปิดตลาด -2.0%  

ส่วนทางด้านตลาดยุโรป ดัชนี STOXX50 พลิกกลับมาปรับตัวลงกว่า -2.6% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นเทคฯ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี ทั่วโลกต่างปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ ASML -7.2%, Adyen -5.4%, Infineon Tech. 5.4% ขณะเดียวกันหุ้นสินค้าแบรนด์เนมก็เผชิญแรงเทขายจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง Adidas -4.1%, Louis Vuitton -3.1%

ในฝั่งตลาดบอนด์ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ การลดคิวอี รวมถึง การทยอยขึ้นดอกเบี้ยและทิศทางเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี ทั่วโลกต่างปรับสูงขึ้น โดย บอนด์ยีลด์ 10ปีสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น กว่า 7bps สู่ระดับ 1.55% เช่นเดียวกับ บอนด์ยีลด์ 10ปี ในฝั่งยุโรป อาทิ บอนด์ยีลด์ 10ปี อังกฤษ ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 4bps สู่ระดับ 1.0% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปีก่อน ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10ปีโดยเฉพาะ ยีลด์ในฝั่งสหรัฐฯ อาจเผชิญความผันผวนต่อได้ เนื่องจากทั้งสัปดาห์จะมีบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดออกมาแถลงอีกหลายท่าน รวมถึง ตลาดจะรอจับตาแนวโน้มการเจรจา Debt Ceiling ของสหรัฐฯ ว่าจะมีทิศทางอย่างไร เพราะหากสภาคองเกรสยังไม่อนุมัติขยายเพดานหนี้ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้

 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเดินหน้าแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดยังคงมีความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือกับความผันผวนในตลาด จากทั้งประเด็น Evergrande รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลง ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 93.70 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร(EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.168 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็อ่อนค่าแตะระดับ 111.6 เยนต่อดอลลาร์ ในขณะที่ ค่าเงินปอนด์ (GBP) พลิกกลับมาอ่อนค่าหนัก สู่ระดับ 1.354 ดอลลาร์ต่อปอนด์ หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น จากการเร่งตัวขึ้นราคาสินค้าพลังงาน ท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำมันที่ล่าสุดส่งผลให้ ปั๊มน้ำมันบางแห่งในอังกฤษไม่สามารถให้บริการได้ 

 

สำหรับวันนี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย โดยเรามองว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะถึงนี้ กนง. จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ0.50% หลังการระบาดเริ่มคลี่คลายลง ส่วนการแจกจ่ายวัคซีนก็สามารถเร่งตัวขึ้นได้มากและรัฐบาลได้เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังเพิ่มเติม หลังขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ของ GDP ทั้งนี้ควรจับตามุมมองของ กนง. ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึงปีหน้า เพราะหาก กนง. มีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้า อาทิ กนง. คงมองว่ารัฐบาลจะสามารถทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ และจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน มุมมองดังกล่าวก็อาจช่วยชะลอแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้ได้