PRM ชี้ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังยังโตใกล้เคียงครึ่งแรกปีนี้

PRM ชี้ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลังยังโตใกล้เคียงครึ่งแรกปีนี้

"พริมา มารีน " มั่นใจการดำเนินธุรกิจปีครึ่งปีหลังยังโตใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก มีกำไร 807.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.95% ลั่นพลิกธุรกิจไทยออยล์มารีน กลับมามีกำไร และหนุนการเติบโตธุรกิจภาพรวมในระยะข้างหน้าได้ ชี้ปีหน้าหากโควิดคลี่คลาย ตลาดยังสดใส

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า ดังนั้น มองว่า แนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ คาดว่ายังใกล้เคียงกับไตรมาส 2  ของปีนี้ และครึ่งปีหลังของปีนี้  น่าจะยังคงใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ โดย 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัท มีกำไรสุทธิ 807.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 708.43 ล้านบาท

หลังจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัทไทยออยล์ มารีน จำกัด ทำใหบริษัท สามารถขยายธุรกิจเรือขนส่งน้ำมัน สำเร็จรูปในประเทศ ธุรกจิเรือขนส่งน้ำมนัสำเรจ็รูประหว่างประเทศ ธุรกจิเรือขนส่งเพื่อใหก้ารสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support) และธุรกิจบรหิารจดัการเรือ และเริ่มรับรูร้ายได้ในไตรมาส 2/64 และน่าจะเห็นการรับรู้รายได้ชัดเจนดีขึ้นในไตรมาส 4 /64  ซึ่งมองเห็นโอกาสของการเติบโตมาสนับสนุนภาพรวมของบริษัทในระยะข้างหน้า  ทำให้เชื่อมั่นว่า ธุรกิจนี้จะพลิกกลับมามีกำไรได้

ทั้งนี้ ในปี 2565  หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายเศรษฐกิจฟื้นตัวและเปิดประเทศได้จริง บริษัทมองว่า   จะสนับสนุนการใช้น้ำมันกลับมามีความต้องการเพิ่มขึ้น  ช่วยให้เรือขนส่งน้ำมันเจ็ทที่ทำให้กำไรดีน่าจะกกลับมาด้วย ทำให้ธุรกิจเรือขนส่งในประเทศกลับมาขยายตัวดี เช่นเดียวกับ ทางด้านภาพรวมรวมธุรกิจเรือขนส่งในประเทศ จะขยายตัวดีต่อเนื่องจากเรือ 2 ลำของกลุ่มธุรกิจไทยออยล์มารีน   

ส่วนธุรกิจเรือ FSU ในปีหน้าน่าจะอาจยังทรงตัว แต่หากตลาดกลับมามีดีมานส์ บริษัทก็พร้อมลงทุนและทำรายได้กลับมาทันที  ขณะที่ธุรกิจเรือออฟชอร์ แม้จะทำรายได้ไม่มาก แต่มีเรือจากกลุ่มไทยออยล์มารีนเข้ามาเพิ่มอีก  13 ลำ จะมาช่วยสนับสนุนการขยายตัวได้ในระยะข้างหน้า  สุดท้ายธุรกิจการบริหารจัดการเรือมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวจากการหาพันธมิตรใหม่เพิ่มขึ้น  

ในส่วนแผนลงทุน 2,000 ล้านบาท ในปีนี้ สำหรับใช้ซื้อเรือเล็กใหม่จากประเทศจีนจำนวน 5 ลำ และเรือขนส่งขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ (VLCC) จำนวน 2 ลำ ซึ่งสถานณ์ปัจจุบันยังไม่สามารถออกไปดำเนินการได้ หลังจากติดปัญหาการเดินทางที่ล่าช้าจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามก็ยังต้องรอดูระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย สามารถเดินทางไปได้ปกติ  ก็จะยังดำเนินการต่อไป