“อีอีซี”เพิ่มลงทุนอีก 2.5ล้านล้าน อัดสิทธิประโยชน์เขตส่งเสริม

“อีอีซี”เพิ่มลงทุนอีก 2.5ล้านล้าน  อัดสิทธิประโยชน์เขตส่งเสริม

“อีอีซี” ตั้งเป้า 5 ปี เพิ่มลงทุนอีก 2.5 ล้านล้านบาท เน้นการเติบโต ในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มาแรงในเรื่องอีวี อิเล็กทรอกนิกส์ การแพทย์ และ 5G เผยข่าวดีเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 1.7 ล้านล้านใน 4 ปีจะทำได้เร็วกว่าเป้าหมาย

การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังขยายตัวต่อเนื่องแต่อยู่ในช่งวระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีการเพิ่มเป้าหมายการลงทุนในแผน 5 ปี เป็น 2.5 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มาแรง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์และ 5G

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มี “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ว่า กบอ.รับทราบความคืบหน้าการลงทุนโครงการอีอีซีระยะ 3 ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในปี 2561 ถึง มิ.ย.2564 มีการลงทุนที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 94% จากเป้าหมายแผน 5 ปี (2561-2565) ที่ตั้งไว้ 1.7 ล้านล้านบาท 

แบ่งเป็นการลงทุน 3 ส่วน ได้แก่ 

1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอกชนร่วมลงทุน (PPP) 4 โครงการหลัก (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง) มูลค่ารวม 633,401 ล้านบาท แบ่งเป็น ทุนจากภาคเอกชน 387,018 ล้านบาท หรือ 61% จากภาครัฐ 196,940 ล้านบาท หรือ 39%

2.การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากการออกบัตรส่งเสริมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่า 878,881 ล้านบาท โดยโครงการที่ขอยื่นส่งเสริมลงทุนช่วงปี 2560 ถึง มิ.ย.2564 ลงทุนจริงแล้วกว่า 85%

3.การลงทุนผ่านงบบูรณาการอีอีซี มูลค่า 82,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บีโอไอรายงานว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีการขอส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี 1.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อน โดยจำนวนขอโครงการสูงสุด คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ส่วนเงินลงทุนสูงสุด คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็คทรอนิกส์ สำหรับการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) คิดเป็น 64% ของคำขอลงทุนในอีอีซี ซึ่งนักลงทุนที่สนใจมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ตามลำดับโดยคาดว่าช่วง 6 เดือนหลังการขอการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซีจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.0-2.5 แสนล้านบาท

สำหรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวจะทำให้อีอีซีบรรลุเป้าหมายการลงทุนที่วางไว้ 1.7 ล้านล้านบาท เร็วกว่ากำหนดถึง 1 ปี ดังนั้น กบอ.จึงตั้งเป้าหมายการลงทุนในอีอีซีเพิ่มขึ้นใน 5 ปีข้างหน้า เป็น 2.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มการลงทุนให้ได้อีกปีละ 5 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 

1.การขอส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ 2.5 แสนล้านบาท

2.การเร่งรัดและชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือการแพทย์ อุตสากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา 5G รวมปีละไม่ตำกว่า 1.5 แสนล้านบาท

3.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมืองที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ครอบคลุมการพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภา การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง รวมปีละ 1 แสนล้านบาท

“อีอีซียังเติบโตต่อเนื่องและขยายตัวมากกว่าเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ซึ่งปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.0-1.5% แต่อีอีซีเติบโตถึง 3.5% จากการผลิตเพื่อส่งออกที่เติบโต ทั้งนี้ระยะต่อไปอีอีซีจะเป็นพื้นที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยระยะ 5 ปีข้างหน้าคาดว่าการลงทุนจะทำได้ปีละ 5 แสนล้านบาท”

นอกจากนี้ กบอ.พิจารณาแผนการดำเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ โดยขยายมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากโครงการที่เป็นนโยบายสำคัญสู่การให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยเริ่มนำร่องที่เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ หรือ แซนด์บ็อกซ์ “การปฏิรูปและยกระดับประเทศไทยก้าวสู่ 10 อันดับของประเทศที่ประกอบธุรกิจง่ายที่สุด” 

ทั้งนี้ กบอ.มอบหมายให้ สกพอ.จัดทำร่างประกาศสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ที่ครอบคลุม สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรและที่มิใช่ภาษีอากร เพื่อสนับสนุนการลงทุนในอีอีซี โดยเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีศักยภาพ ใช้นวัตกรรมขั้นสูงและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ภายใต้การออกแบบสิทธิประโยชน์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นต้นแบบการปฏิรูประบบราชการที่ใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคในการลงทุน และเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

รวมทั้ง กบอ.พิจารณาแผนดำเนินการโครงการ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ EECd กำหนดแผนปฏิบัติการปี 2564-2565 จำนวน 4 แผนหลัก คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ ได้แก่

1.จัดทำแผนการดำเนินโครงการ 2.การจัดทำแนวคิดออกแบบโครงการ 3.การวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 4.การจัดทำแผนดึงดูดนักลงทุนและสิทธิประโยชน์ 

และตั้งเป้าหมายไตรมาส 4 จะทำความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคของโครงการ พร้อมเจรจาร่วมกับบริษัทและหน่วยงานที่สนใจร่วมลงทุน และออกแบบรายละเอียดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่ช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2565

สำหรับการพัฒนาโครงการ EECd แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ระยะที่ 2 พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ศูนย์เรียนรู้ ศูนย์บริการต่างๆ ระยะที่ 3 พัฒนาพื้นที่กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และระยะที่ 4 พัฒนาพื้นที่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ผสมผสานระบบนิเวศน์ เพื่อการอยู่อาศัยในโลกยุคใหม่ โดยตั้งเป้าให้ EECd เป็นเมืองดิจิทัลระดับโลกในภูมิภาค เป็นศูนย์กลางลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลแห่งอนาคต และเป็นเมืองอัจฉริยะโดยใช้หลักคิดการพัฒนาเมืองที่เติบโตอย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้

ทั้งนี้ ผลการพิจารณาของ กบอ.ในครั้งนี้จะเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในกลางเดือน ต.ค.นี้