คันทรี่ กรุ๊ป คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่ง 1,625-1,650 จุด

คันทรี่ กรุ๊ป คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่ง 1,625-1,650 จุด

"บล.คันทรี่ กรุ๊ป" มองกรอบหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (13-17 ก.ย.) ระหว่าง 1,625-1,650 จุด คาดความกังวลเฟดเข้มนโยบายการเงินกระทบไทยจำกัด ลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศลดลง หนุนดัชนีบวก

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การปรับฐานลงของดาวโจนส์ในวันศุกร์ (10 ก.ย.) 0.78% หากอิงปัจจัยที่ส่งผลให้ปรับที่ส่งผลให้ดาวโจนส์ปรับตัวลง คือ การรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตที่สูงกว่าตลาดประเมินไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลต่อดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะจำกัด เนื่องจากในช่วง 6 ปีย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ SET Index ต่อเนื่องกว่า 7 แสนล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสะสมสุทธิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้จะเน้นไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลักได้แก่ (1) คืนวันอังคารตามเวลาประเทศ สหรัฐมีกำหนดรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ตลาด คาดที่ 5.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนที่ 5.4% หากจะเป็นบวกกับตลาดหุ้นเชื่อว่าการออกมาใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกมากกว่าสูงกว่าคาด (2) ยอดค้าปลีกสหรัฐในวันพฤหัส (16 ก.ย.) นักวิเคราะ์ (Bloomberg Consensus) คาดที่ลบ 0.8% เทียบกับเดือนก่อน หากจะเป็นบวกต่อตลาดคือใกล้เคียงคาดหรือต่ำกว่าคาด

ส่วนอื่นๆ จะเป็นเรื่องของภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของโควิด-19 ประชุม ศบค.ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) ยังคงเวลาเคอร์ฟิวที่ 21.00-04.00 น. พร้อมคงจังหวัดสีแดงไว้เท่าเดิม มองผลของการประชุมไม่มีผลมากกับการลงทุน

ส่วนสัปดาห์นี้ภายในประเทศยังเป็นเรื่องของโควิด-19 การติดเชื้อวันอาทิตย์ยังเป็นไปในทิศทางดี แม้จะเปิดเมืองมาแล้ว 12 วันแต่ตัวเลขติดเชื้อก็มิได้เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยยะ หากสัปดาห์นี้ระหว่างสัปดาห์เห็นการติดเชื้อที่ทำจุดต่ำสุดใหม่จะยิ่งเป็นบวกกับตลาดมากขึ้นและคาดหวังถึงการผ่อนคลายจากภาครัฐที่จะตามมา อาทิ ลดเวลาเคอร์ฟิว หรือขยายระยะเวลาเปิดศูนย์การค้า มองกรอบ SET Index สัปดาห์นี้ที่ 1,625-1,650 จุด

โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) สำหรับการลงทุนระยะกลาง แต่ให้เน้นหุ้นที่ราคายังขึ้นน้อย (แลกการ์ด) หรือราคายังไม่เกินกว่าก่อนเกิดโควิด-19 อาทิ AOT BBL BEM BJC BTS CPN CPALL M MAJOR PLANB และ VGI ส่วนระยะสั้นแนะนำหุ้นกำไรครึ่งปีหลังแข็งแกร่งรวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ COM7 CBG GLOBAL KCE SYNEX SIS และ WICE

หุ้นเด่นแนะนำ ได้แก่ SYNEX แนะนำ "ถือ" ราคาเหมาะสม 25 บาทต่อหุ้น โดยแนะนำเก็งกำไรระยะสั้นจากผลบวกของการเปิดตัว iPhone 13 ในวันพุธ (15 ก.ย.) ส่วนผลประกอบการคาดไตรมาส 3 ปี 2564 ผลประกอบการจะยังเติบโตเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากความต้องการใช้อุปกรณ์ไอทีที่ยังสูง แต่คาดกำไรอ่อนตัวลงจากไตรมาสที่แล้ว จากผลกระทบจากการปิดหน้าร้านของลูกค้า SYNEX ตามมาตรการล็อกดาวน์

และ CBG แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 165 บาทต่อหุ้น มองราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 15% จากจุดสูงสุดก่อนหน้าสะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการไปแล้ว โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 จะลดลงทั้งเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อน จากยอดขายที่อ่อนตัวลงในทุกประเทศ ยกเว้นรายได้จัดจำหน่ายในประเทศ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลงจากปีก่อน จากต้นทุนน้ำตาลและอลูมิเนียมที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ระยะยาวยังมองบริษัทแข็งแกร่ง