ย้อนรอย 3 เหตุการณ์ ระเบิดไฟไหม้ ‘โรงงาน-ท่อก๊าซ’

ย้อนรอย 3 เหตุการณ์ ระเบิดไฟไหม้ ‘โรงงาน-ท่อก๊าซ’

ย้อนรอย 3 เหตุการณ์ระเบิดไฟไหม้ในภาคอุตสาหกรรม สร้างความเสียหายรุนแรง มีผู้เสียชีวิต ทั้งกรณีท่อก๊าซ ปตท.ระเบิด ถังก๊าซโรงงานบีเอสทีระเบิด รวมถึงไฟไหม้คลังน้ำมันไทยออยล์ครั้งใหญ่

เหตุการณ์ถังสารสไตรีน โมโนเมอร์ ของ บริษัทหมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ระเบิดในช่วงเช้ามืดของวันที่ 5 ก.ค.2564 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ต้องมีการอพยพประชาชนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ออกนอกพื้นที่ พร้อมการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 1 ราย โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ บนบริเวณถนนกิ่งแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 3 กิโลเมตร

การระเบิดของถังสารเคมีครั้งใหญ่รอบนี้ลดความน่าเชื่อถือของการอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงานและชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาโรงงานจะถูกกล่าวหาเป็นผู้ร้ายในการสร้างผลกระทบให้กับชุมชนทั้งมลพิษทางเสียง กลิ่นและการปล่อยน้ำเสีย และเหตุการสารเคมีระเบิด

หากย้อนดูความเสียหายจากเหตุการณ์ระเบิดของโรงงานและท่าก๊าซที่รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตมีเหตุการณ์ 3 สำคัญ 3 ครั้ง

เหตุการณ์ที่ 1 ท่อก๊าซธรรมชาติรั่ว ซึ่งเป็นท่อส่งก๊าซของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2563

เกิดขึ้นบริเวณตรงข้ามวัดเปร็งราษฎร์บำรุง ถนนเทพราช–ลาดกระบัง ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย มีผู้บาดเจ็บ 66 ราย

ท่อก๊าซรั่วทำให้มีก๊าซฟุ้งกระจายสู่บรรยากาศและเกิดการติดไฟ ขยายวงกว้างจนเพลิงไหม้จากท่อส่งก๊าซใต้ดินจนเดการระเบิดที่ส่งผลกระทบรัศมี 1 กิโลเมตร บ้านเรือนประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอาคาร สภ.เปร็ง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ถูกไฟไหม้มากกว่า 20 คัน

กระทรวงพลังงานในฐานะกำกับดูแล ปตท.ได้รายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อสันนิษฐาน สาเหตุที่มีความเป็นไปได้ 6 แนวทาง ประกอบด้วย

1.การผุกร่อนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ

2.ความเสียหายของคุณสมบัติทางกลของท่อจากโรงงานผลิตหรือการก่อสร้าง

3.ความผิดปกติของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงเหนือท่อ

4.ความผิดปกติของอุปกรณ์ตรวจวัดหรือควบคุมระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ

5.การเกิดการสไลด์หรือการทรุดตัวของดิน ทำให้ท่อเกิดความเสียหายฉับพลัน

6.การรุกล้ำแนวเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อโดยบุคคลที่ 3

เหตุการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ค.2555 เป็นเหตุการณ์ถังบรรจุก๊าซระเบิดในโรงงาน บริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด 

โดยเป็นผู้ผลิตสารปิโตรเคมี ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย และบาดเจ็บ 141 ราย

ในขณะที่เกิดเหตุมีเปลวควันสีดำพวยพุ่งออกมาจนเต็มท้องฟ้า ซึ่งทำให้โรงงานและเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยต้องอพยพคนงานและประชาชน 12 ชุมชน ออกจากพื้นที่ทันทีมากกว่า 3,000 คน โดยกลิ่นสารเคมีถูกลมพัดกระจายไปถึงตลาดสดมาบตาพุด รวมแล้วเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานถึง 5 ชั่วโมง จึงจะยุติเหตุการณ์ได้

การตรวจสอบของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พบว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากการที่ถังบรรจุสารโทลูอีน (Toluene) ขนาด 7.8 ลูกบาศก์เมตร ระเบิดทำให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในกระบวนการผลิตยางสังเคราะห์ โดยเกิดเหตุขณะที่มีการหยุดกระบวนการผลิตเพื่อเปลี่ยนเกรดการผลิตจึงมีล้างถังเก็บสารละลายในการล้างสารโทลูอีน ซึ่งเป็นสารในกระบวนการผลิตยางสังเคราะห์ Butadiene Rubber และพบว่า Machanical Seal เสียหาย จึงหยุดการล้างถังและเรียกทีมซ่อมบำรุงเพื่อตรวจสอบแก้ไข

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กนอ.ที่กำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมจะต้องสั่งระงับการดำเนินกิจกรรมในส่วนที่มีปัญหา คือ ส่วนการผลิตยางสังเคราะห์ Butadiene Rubber 

สำหรับบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด (Bste) เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท กรุงเทพซินธิติ จำกัด (BST) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางสงเคราะห์ประเภท Polybutadiens Rubber (BR) และ Styrene Butadiene Rubbur (SBR) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางรถยนต์ ยางชิ้นส่วนยานยนต์ พื้นรองเท้าพลาสติก และอุปกรณ์กีฬา

นอกจากนี้ พื้นที่ตำบลมาบตาพุด ห้วยโป่ง เนินพระ ทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง และพื้นที่ทะเลภายในแนวเขต ถูกประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งต้องมีการจัดการควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ

เหตุการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นในคืนวันที่ 2 ธ.ค.2542 โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ระเบิด

ถือเป็นเหตุเพลิงไหม้คลังเก็บน้ำมันครั้งร้ายแรง โดยมีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บ 5 คน เกิดขึ้นบริเวณคลังน้ำมันของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี สร้างความเสียหาย 850 ล้านบาท

เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกบันทึกในหนังสือ “พ่ายพิษ บันทึก 9 กรณีวิกฤตยุคสังคมเสี่ยงภัย” ของกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม สรุปข้อมูลไว้ว่าการดับไฟครั้งนี้จะต้องใช้โฟมดับไฟ 300,000 ลิตร ใช้เวลา 48 ชั่วโมง หลังจากที่คลังน้ำมันถูกไฟไหม 4 ถัง และน้ำมันเบนซินถูกเผาไป 24.5 ล้านลิตร โดยการยุติเหตุการณ์ต้องระดมกำลังจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนราชการ กองทัพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคเอกชนและผู้เชี่ยวชาญด้านปิโตรเคมีจากต่างประเทศ รวม 70 หน่วยงาน

รถดับเพลิงของบริษัทไทยออยล์ถูกไฟไหม้ 6 คัน น้ำมันเบนซินถูกเผาไหม้รวม 24.5 ล้านลิตร ถังเก็บน้ำมันมันเสียหาย 4 ถัง ใช้โฟมในการดับเพลิงกว่า 3 แสนลิตร

ในขณะที่การดับเพลิงทำได้ยากเพราะมีเชื้อเพลิงเป็นน้ำมันเบนซิน ซึ่งจะต้องใช้โฟมดับไฟแต่ท่อส่งโฟมของโรงกลั่นเสียหายจากแรงระเบิดทำให้ต้องจัดหาโฟมที่แหล่งอื่นมาดับไฟ
    
การตรวจสอบเหตุการณ์ครั้งนี้พบว่าขณะเกิดเหตุได้มีระบบเตือนภัยเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นเป็นระยะ 4 จุด และมีกลิ่นน้ำมันจากถังเก็บโชยออกมาจากนั้นมีเสียงระเบิดที่ดังขึ้นตามมาด้วยเปลวไฟที่ลุกท่วมคลังน้ำมัน โดยแรงอัดระเบิดที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้โรงกลั่นไทยออยล์และชุมชนรอบโรงกลั่น

เหตุการณ์ไฟไหม้โรงกลั่นน้ำมันนำมาสู่การดำเนินคดีพนักงานบริษัทไทยออยล์ 4 คน ในข้อหาประมาทเลินเล่อจากการที่ไม่ดำเนินการตรวจสอบทันทีที่มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น

ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมานานแต่เมื่อมีเสียงคล้ายระเบิดจากโรงกลั่นไทยออยล์ทุกครั้งสร้างความกังวลให้ชุมชนรอบโรงกลั่น