36 หุ้นเปิดเมืองขยับ! ลุ้นอานิสงส์นายกฯ เปิดประเทศใน 120 วัน

36 หุ้นเปิดเมืองขยับ! ลุ้นอานิสงส์นายกฯ เปิดประเทศใน 120 วัน

ลุ้นหุ้นเปิดเมืองปรับขึ้นรับนายกฯ ประกาศเป้าหมายเปิดประเทศใน 120 วัน AU-AAV-BA นำทีมบวก โบรกฯ แนะนำ "ซื้อ" เน้นหุ้นแลกการ์ดที่ได้ประโยชน์

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18 มิ.ย.2564) ปิดที่ 1,612.98 จุด ลดลง 20.08 จุด หรือลดลง 1.23% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และมีมูลค่าการซื้อขาย 4.6 แสนล้านบาท โดยดัชนีปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,633.06 จุดในช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนที่ปลายสัปดาห์จะปรับตัวลงมาทดสอบจุดต่ำสุดที่ 1,612.98 จุด

ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่าตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาด รวมถึงส่งสัญญาณเตรียมปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลในการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวได้แข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากปัจจัยหนุนที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศเป้าหมายเปิดประเทศภายใน 120 วัน หรือภายในไตรมาส 4 ปี 2564 นี้

โดยภายหลังจากที่นายกฯ ประกาศเป้าหมายดังกล่าวเมื่อเย็นวันที่ 16 มิ.ย. พบว่าราคาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง (Reopening) อาทิ กลุ่มสายการบิน กลุ่มท่องเที่ยว หรือกลุ่มโรงแรม ฯลฯ ทยอยปรับตัวขึ้นตอบรับประเด็นดังกล่าว ท่ามกลางนักวิเคราะห์ที่แนะนำ "ซื้อ" นำโดย บมจ.อาฟเตอร์ ยู (AU) บวก 12.26% บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) 7.14% และ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) 4.08%

162411587770

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า จากข่าวนายกฯ ประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน ประเมินเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบิน เช่น บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) บมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป (SPA) บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) BA และ AAV

ตลอดจนหุ้น Reopening ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก (แลกการ์ด) เช่น กลุ่มโรงพยาบาล บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) กลุ่มขนส่ง บมจ.พริมา มารีน (PRM) บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) กลุ่มค้าปลีก บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) และสุดท้ายกลุ่มพลังงาน บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG)

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า สัญญาณการเปิดประเทศภายใน 120 วัน และการยืนยันเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกวันที่ 1 ก.ค.นี้ เป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (Recovery Play) ทั้งหมด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว แม้การเปิดประเทศในช่วงแรกอาจไม่สามารถคาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีนัยสำคัญ แต่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของภาครัฐจะทำให้เกิดความพยายามฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2564 และการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศในลำดับถัดไป

แม้กลุ่ม Recovery Play ได้ประโยชน์ทั้งหมด แต่ในช่วงแรกเราคาดว่า โรงแรม สนามบิน ห้าง ร้านสปา ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติสูงจะได้ประโชน์ก่อน เราเลือก AOT ราคาเหมาะสม 74 บาทต่อหุ้น บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) 60 บาทต่อหุ้น และ SPA 9.10 บาทต่อหุ้น เพราะเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวต่างขาติโดยตรง ขณะที่กลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่หุ้นขึ้นมาจนโอกาสปรับขึ้น (อัพไซด์) เริ่มจำกัด ยกเว้น MINT ราคาเหมาะสม 36 บาทต่อหุ้น กับ บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) 3.90 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ดี เราและตลาดมีโอกาสปรับประมาณการของกลุ่มขึ้นอีกราว 10-15% ดังนั้น ERW และ CENTEL ยังเก็งกำไรได้แต่ไม่เด่นเท่า MINT กับ SHR หากการเปิดประเทศทำได้ตามคาดและได้รับการตอบสนองดี ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจมองไปที่โรงแรมตัวรองที่ยังขึ้นน้อยกว่ากลุ่มมาก เช่น บมจ.วีรันดา รีสอร์ท (VRANDA) ราคาเหมาะสม 8.20 บาทต่อหุ้น

ในระยะถัดไป หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ราคาเหมาะสม 24.20 กลุ่มสื่อสาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) 220 บาทต่อหุ้น กลุ่มห้างสรรพสินค้าตัวรองอย่าง บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) และ กลุ่มธนาคาร เช่น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 180 บาทต่อหุ้น