โควิดทุบตลาดไมซ์ปี 64 ซึมหนัก! ‘ทีเส็บ’ชี้ต่างประเทศฟื้นตัว 80% ปี 68
แนวโน้มตลาดการจัดประชุม ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า (MICE: ไมซ์) ต่างประเทศ ยังคงมีความท้าทายจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ในปี 2564!
จิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ประเมินว่า ตลาดไมซ์ต่างประเทศจะทยอยฟื้นตัวในปี 2565 ที่ 25% ก่อน จากนั้นในปี 2566 กลับมาที่ 50%, ปี 2567 ที่ 70% และปี 2568 ที่ 80% เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ!
สำหรับแนวทางการทำตลาด จะเน้นดึงงานเจาะกลุ่มตลาดระยะใกล้ที่มีความพร้อม เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย รวมถึงจีนซึ่งต้องรอนโยบายของทางการจีนอนุญาตให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ โดยล่าสุดทีเส็บได้เพิ่มตัวแทนการตลาดที่นครกว่างโจว เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรอจีนเปิดประเทศ นอกจากนี้ยังเตรียมจัดงาน TIME 2021 จับคู่เจรจาธุรกิจผู้ประกอบการไมซ์กับกลุ่มเป้าหมายผู้จัดงานตลาดจีน Business Exchange Chinese Speaking Edition ในรูปแบบ Virtual จัดขึ้นวันที่ 22-23 มิ.ย.นี้ มีผู้ซื้อจากตลาดจีน 42 รายและผู้ขาย 22 ราย ส่วนงาน IT&CM China จะจัดวันที่ 22-24 มิ.ย.นี้
“หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยตลอดปี 2564 ลดลงมาอยู่ที่ 5 แสนคน ทีเส็บประเมินว่าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจ เอ็กซ์แพท (Expat) หรือชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในไทย และเจ้าหน้าที่ทางการทูต”
และเมื่อรัฐบาลไทยยืนยันเดินหน้าโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เปิดเมืองภูเก็ตรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เริ่มวันที่ 1 ก.ค.นี้ ทีเส็บจึงต้องปรับกลยุทธ์ ดึงตลาดองค์กร (Corporate) ต่างชาติเข้ามาจัดประชุมและท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลที่ภูเก็ต ทั้งนี้ขนาดของกลุ่มนักเดินทางไมซ์จะลดลงอยู่ที่ประมาณ 30-100 คนต่อกลุ่ม ไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ที่เคยดึงมาได้ถึง 7,000-10,000 คนต่อกลุ่ม และต้องมุ่งดึงนักเดินทางไมซ์จากตลาดที่มีสายการบินให้บริการ โดยปัจจุบันมีสายการบิน 5 สายให้บริการเที่ยวบินเข้าภูเก็ต ครอบคลุมเส้นทางบินจากทั้งยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียรวมกว่า 20 เส้นทาง ได้แก่ การบินไทย, เอมิเรตส์, สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส, แอลอัล อิสราเอลแอร์ไลน์ และกาตาร์ แอร์เวย์ส
ด้านตลาดไมซ์ในประเทศ เป้าหมายหลักในการกระตุ้นตลาดช่วงแรกและพัฒนาต่อยอดให้มีความยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว เน้นการประชุมสัมมนาภาครัฐและเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อนพร้อมกับการสร้างงานและกระจายงานสู่ภูมิภาค ช่วยฟื้นฟูให้ผู้ประกอบการอยู่รอดและกลับมาแข็งแรง! เริ่มที่การผลักดันแคมเปญกระตุ้นตลาดในประเทศซึ่งคาดว่าในปี 2564 จะฟื้นตัวกลับมาที่ 35%, ปี 2565 ที่ 60%, ปี 2566 ที่ 80%, ปี 2567 กลับสู่ปกติที่ 100% และปี 2568 เติบโตเป็น 110%
สำหรับผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.2563-มี.ค.2564) พบว่ามีจำนวนนักเดินทางไมซ์ต่างชาติลดลงประมาณ 90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบฯ 2563 ทำให้รายได้จากนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศของครึ่งแรกปีงบฯ 2564 ลดลง 90% ส่วนจำนวนนักเดินทางไมซ์ภายในประเทศลดลง 60% ทำให้รายได้จากนักเดินทางไมซ์ภายในประเทศลดลง 70%
“วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดงานไมซ์ในประเทศไทย ทำให้ต้องมีการยกเลิกและเลื่อนจัดงาน แต่บางส่วนยังคงยืนยันจัดในปีงบฯ 2564 โดยงานไมซ์ต่างประเทศที่ยกเลิกการจัดงานมีจำนวน 14 งาน งานที่ถูกเลื่อนการจัดงานมี 38 งาน และงานที่ยืนยันจัดตามแผนมี 44 งาน ส่วนงานไมซ์ในประเทศ พบว่างานที่ยกเลิกการจัดงานมีจำนวน 14 งาน งานที่ถูกเลื่อนการจัดมี 44 งาน และงานที่ยืนยันจัดตามแผนมี 33 งาน”
จิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานของทีเส็บยังคงสานต่อแนวทางในปี 2564 คือ “การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไมซ์ในทุกด้าน” โดยปัจจุบัน 3 โครงการเตรียมความพร้อมสำคัญที่กำลังดำเนินการมี 1.เตรียมความพร้อมบุคลากรไมซ์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ทีเส็บร่วมหารือ 3 สมาคมอุตสาหกรรมไมซ์ ได้แก่ TICA TEA และ EMA เตรียมรวบรวมข้อมูลและรายชื่อบุคลากรไมซ์ที่ต้องการรับวัคซีน โดยทีเส็บจะเป็นผู้ดำเนินการและประสานงานหลักกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2.เตรียมความพร้อมสถานที่จัดงานศูนย์ประชุมฯที่ปรับพื้นที่รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้มีความพร้อมกลับมาดำเนินธุรกิจ อาทิ อิมแพ็ค, ศูนย์ประชุมฯหาดใหญ่ (N.C.C.) และศูนย์ประชุมฯเชียงใหม่ ในการหาแนวทางฟื้นฟูร่วมกันเพื่อให้สถานที่จัดงานดังกล่าวกลับมาเป็นสถานที่รองรับการจัดงานไมซ์ได้เช่นเดิมเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
และ 3.เร่งกระตุ้นการจัดงานไมซ์ในประเทศ สานต่อโครงการ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า” เฟส 3 เปิดโครงการตั้งแต่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ขอรับการสนับสนุนได้จนถึง 15 ก.ย.นี้ โดยต้องจัดกิจกรรมภายใน 20 ต.ค.นี้ ทั้งนี้แบ่งการสนับสนุนเป็น 2 รูปแบบ คือ 1.สนับสนุนไม่เกิน 15,000 บาทต่อกลุ่ม อย่างน้อย 30 คน สำหรับการจัดกิจกรรม 1 วัน ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และ 2.สนับสนุนไม่เกิน 30,000 บาทต่อกลุ่ม อย่างน้อย 30 คน สำหรับการจัดกิจกรรม 2 วัน 1 คืน โดยวันที่ 2 ต้องจัดกิจกรรมไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง และเข้าพักอย่างน้อย 5 ห้อง