กลยุทธ์การลงทุน (19 พ.ค.64)

กลยุทธ์การลงทุน (19 พ.ค.64)

สรุปผลประกอบการไตรมาส 1/64 - แข็งแกร่งกว่าคาดมาก

กำไรรวมใน 1Q64 +132% YoY และ +46% QoQ นำโดยหุ้น cyclical และ commodity

เรามองว่าผลประกอบการใน 1Q64 ออกมาดีมาก โดยกำไรสุทธิของทั้งตลาดเพิ่มขึ้นถึง 132% YoY และ 46% QoQ ทั้งนี้ กำไรของกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่บางบริษัทยังมีกำไรพิเศษจากวัฎจักรเศรษฐกิจด้วย แต่หากไม่นับสองกลุ่มนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยจะเพิ่มขึ้น 15% YoY และ 30% QoQ ซึ่งแม้จะโตลดลงแต่ยังถือว่าดี ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารออกมาดีเกินคาดใน 1Q64 เนื่องจากกันสำรองลดลง และมีกำไรจากการลงทุนก้อนใหญ่ ทั้งนี้ หากพิจารณาโดยแบ่งกลุ่มตามบริษัทที่มีผลประกอบการ 1Q64 ดีเกินคาด/เป็นไปตามคาด/ต่ำเกินคาด พบว่า 40% หุ้นที่ KGI ทำการศึกษามีผลประกอบการดีเกินคาด, 33% เป็นไปตามคาด และ 27% ต่ำเกินคาด

กำไรของกลุ่มพลังงาน และธนาคารดีเกินคาด ในขณะที่กลุ่มผู้บริโคค และท่องเที่ยวน่าผิดหวัง

ดังที่แสดงใน Figure 2 หุ้นในกลุ่มพลังงานและธนาคารติดอันดับ 15 หุ้นที่ KGI ทำการศึกษา และผลประกอบการออกมาดีเกินคาดมากที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการ EPS ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน ๆ มา แม้จะเกิดวิกฤติ COVID-19 รอบใหม่ ซึ่งทำให้ประมาณการ GDP มีความเสี่ยงด้าน downside เพิ่มขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของกลุ่มพลังงานขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การปรับประมาณการของกลุ่มธนาคารยังไม่ค่อยชัดเจนนัก โดยผลประกอบการใน 1Q64 ที่ออกมาดีทำให้ไม่จำเป็นต้องปรับลดประมาณการกำไรลงแม้จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่ในด้านลบ ผลประกอบการของกลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ผลกระทบต่อ EPS ของตลาดไม่มากนัก เพราะมีน้ำหนักกับตลาดน้อยทั้งในแง่ของ market cap และผลกำไร

กำไรใน 2Q64 จะได้อานิสงส์จากฐานที่ต่ำ การเติบโตใน 2H64 จะนำโดยหุ้นในประเทศจากธีมวัคซีน

สำหรับในระยะต่อไป ทีมนักวิเคราะห์ของเราเชื่อว่ากำไรของหุ้นเกือบทุกกลุ่มในตลาดจะเพิ่มขึ้น YoY ใน 2Q64 เนื่องจากฐานกำไรต่ำมากใน 2Q63 โดยเรามองว่ากำไรของหุ้นกลุ่ม cyclical และ commodity จะเติบโตอย่างโดดเด่น สำหรับใน 2H64 เราคิดว่าประเด็นการฟื้นตัวจะเปลี่ยนไปที่ธีมหุ้นในประเทศ
และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เนื่องจากการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในประเทศไทยน่าจะเร่งตัวขึ้นอย่างมากหลังจากที่มีวัคซีนจำนวนมากจาก AstraZeneca ที่พร้อมนำมาฉีดให้ประชาชนได้ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน เรายังเชื่อว่าจะโมเมนตั้มของการปรับประมาณการ EPS ในตลาดหุ้นไทยจะยังคงเป็นการปรับขึ้นใน 2H64

แม้จะมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น เรายังมองบวกกับดัชนี SET และตั้งเป้ากลางปี นี้ที่ 1,700 จุด (เป้าในกรณีดีที่สุดอยู่ที่ 1,780)

เนื่องจากโมเมนตั้มของ EPS ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรามองว่า Fed จะยังไม่ส่งสัญญาณลดขนาด QE ลงในปีนี้ เราจึงยังคงมองบวกกับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย และประเมินเป้าดัชนี SET กลางปี 2564 ในกรณีฐานที่ 1,700 จุด โดยกำหนด discount 5% จากการทำ regression model ที่อิงจาก QE ทั่วโลก โดยใช้สัดส่วน P/E ที่ 19.4x และ EPS กลางปี 2565 ที่ 92.0 ทั้งนี้ เรากำหนด discount เพื่อสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด ‘ความกังวลเกี่ยวกับการลดขนาด QE’ ในระยะต่อไป ทั้งนี้ เราประเมินเป้าดัชนี SET ในกรณีดีที่สุด โดยไม่ใส่ discount ที่ 1,780 จุด ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่ม large-cap ของ
เราได้แก่ PTTEP*, IRPC*, TOP*, KBANK* และ MINT* ส่วนหุ้นเด่นของเราในกลุ่ม mid-cap จะเป็นกลุ่มที่มีประเด็นการฟื้นตัวของผลประกอบการ อย่างเช่น BEC*, SAT* และหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างเช่น BCH*, JMART*