SMD เล็งขายหุ้น IPO 54 ล้านหุ้นในครึ่งแรกปีนี้ เข้า mai

เซนต์เมด คาดเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 54 ล้านหุ้น ภายในครึ่งแรกปีนี้ เข้า mai นำเงินขยายศูนย์ตรวจการนอนหลับ-ลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า หวังดันรายได้ระยะ 3 ปีข้างหน้าโต 15-20% พร้อมทุ่มงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 100-150 ล้านบาท
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน นำบริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทคาดเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 25.23% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ คาดว่าจะนำ SMD จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปี 2564 นี้ ปัจจุบัน SMD มีทุนจดทะเบียนจำนวน 107 ล้านบาท แบ่งเป็น 214 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับและลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า ซึ่งก็จะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) เพิ่มรายได้อย่างสม่ำเสอมและมั่นคงในอนาคต ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินกิจการและชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน
นายวิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก เปิดเผยว่า SMD มีศักยภาพเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเป็นโอกาสรุกขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งสอดรับแผนลงทุนกลุ่มโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเพื่อเพิ่มความสามารถการให้บริการทางการแพทย์รองรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุในประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ในช่วงปี 2564-2565 ที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐด้านสาธารณุสขที่เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการทางการแพทย์ รองรับนโยบายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์หรือเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) อีกด้วย
นายกำพล ชัยสุภัคสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน SMD กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) จะมีรายได้เติบโตปีละ 15-20% เพิ่มขึ้นจากในช่วงที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ทั้งนี้การเติบโตเพิ่มขึ้นดังกล่าวจะมาจากธุรกิจเทรดดิ้งตั้งเป้าเติบโต 10-15% ต่อปี ธุรกิจสัญญาเช่า ตั้งเป้าให้เติบโตทุกปี ส่วนรายได้ศูนย์ตรวจการนอนหลับ จะเพิ่มตามจำนวนเตียง ตามแผนเพิ่มปีละ 8 เตียง ในปี 2564-2568 ส่วนผลกรบทบจากโควิด ส่งผลดีให้บริษัทมากกว่าเชิงลบ เพราะมีความต้องการเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้น
สำหรับมูลค่าลงทุนปี 2564 อยู่ที่ 100-150 ล้านบาท ส่วนหนึ่งใช้ลงทุนโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับ โดยศูนย์ตรวจการนอนหลับ 1 ศูนย์ จะมี 4 เตียง ใช้งบลงทุนราว 25 ล้านบาทต่อศูนย์ บริษีทมีแผนเพิ่มศูนย์ตรวจการนอนหลับ ในช่วง 5 ปี (2564-2568) ปีละ 8 เตียง
ขณะที่ดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2561–2563) บริษัท มีรายได้มีจากการขายและบริการรวม 506.03 ล้านบาท 618.63 ล้านบาท และ 660.94 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 14.29% โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากกลุ่มสินค้าด้านเวชบำบัดวิกฤต คิดเป็นสัดส่วน 40.20% ซึ่งมีฐานลูกค้าหลัก คือ กลุ่มโรงพยาบาลรัฐคิดเป็น 71.07%จากความต้องอุปกรณ์การแพทย์ของภาครัฐที่เพิ่มขี้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กำไรสุทธิปี 2561-2563 ทำได้ 30.52 ล้านบาท 60.44 ล้านบาท และ 77.75 ล้านบาท ตามลำดับ หลังประสบความสำเร็จในการขายสินค้ากลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงได้มากขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างโดดเด่น โดยสามารถบริหารอัตรากำไรขั้นต้นที่ 41-42% ระดับมีเสถียรภาพ ขณะที่มีการเติบโตของค่าใช้จ่ายช้ากว่ารายได้ ในแง่ของกำไรสุทธิจึงเติบโตต่อเนื่อง ภาพที่สะท้อนชัดเจนคือ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 34% อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) 14% อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) ปกติที่ 1 เท่า แต่ปี 63 เนื่องจากมีโควิดจำเป็นต้องใช้เงิน D/E จึง 1.8 เท่า แต่คาดว่าหลังระดมทุน D/E จะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ 1 เท่







