นักลงทุนแห่เก็งกำไร ดันวอลุ่มเทรด DW นิวไฮ 9.9 พันลบ.

นักลงทุนแห่เก็งกำไร ดันวอลุ่มเทรด DW นิวไฮ 9.9 พันลบ.

บล.เคจีไอ ชี้ นักลงทุนแห่เก็งกำไร “ดีดับบลิว” ดันมูลค่าซื้อขายต่อวันไตรมาส 1/64 นิวไฮ ที่ 9.9 พันล้าน เชื่อวอลุ่มคึกคักต่อเนื่อง เผยไตรมาส 2/64 เล็งออกใหม่อ้างอิงหุ้นขนาดกลาง คาดปีนี้ 1 พันตัว “บล.บัวหลวง” ส่งดีดับบลิวอ้างอิงหุ้นเปิดเมือง

นายเจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า ภาพรวมการซื้อขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ หรือ DW ในช่วงต้นปี 2564 (1 ม.ค.-26 มี.ค.) อยู่ที่ 5.76 แสนล้านบาท ซึ่งมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ที่ 9.9 พันล้านบาทต่อวัน เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2563ที่มี 6.8 พันล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้สาเหตุที่มูลค่าการซื้อขาย DW เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ตามทิศทางของดัชนีหุ้นไทยในช่วงต้นปี 2564 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างร้อนแรง (Bullish)  โดยพบว่านักลงทุนนิยมซื้อขาย DW ที่เก็งกำไรขาขึ้น (Call) สัดส่วน 60% มากกว่า DW ที่เก็งกำไรขาลง (Put) ที่มีสัดส่วน 40% ซึ่งหุ้นอ้างอิงที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) มูลค่าการซื้อขาย 1.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6.48% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) 1.18 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 5.38% บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) 1.17 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 5.33% บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) 9.8 พันล้านบาท คิดเป็น 4.48% และ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) 8.9 พันล้านบาท มูลค่า 4.07%

สำหรับแนวโน้มการซื้อขาย DW จากนี้ คาดว่าวอลุ่มเทรด DW จะยังคึกคักตามการซื้อขายของดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อวัน เพราะ DW คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของวอลุ่มตลาดทั้งหมด

นายเจนวิทย์ กล่าวว่า ในช่วงเดือน เม.ย.และในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทจะเน้นออก DW หุ้นขนาดกลางมากขึ้น เพราะมองว่าราคาหุ้นดังกล่าวเริ่มขยับขึ้นลงได้จำกัดในสถานการณ์ที่ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวออกข้าง (ไซด์เวย์) โดยปีนี้ บล.เคจีไอ ในช่วงเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทออก DW ไปแล้ว 260 ตัว เทียบกับปี 2563 ที่ออกไปประมาณ 812 ตัว คาดสิ้นปี 2564 จะออกขาย DW ประมาณ 1,000 ตัว

นายอรรถนันต์ ปิยเศรษฐ์ หัวหน้าฝ่าย Structured Products บล.บัวหลวง กล่าวว่า ในไตรมาส 2ปี2564 คาดว่าความนิยมของนักลงทุนรายย่อยต่อการซื้อขาย DW จะมีความต้องการลงทุนหุ้นอ้างอิงในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง-เปิดประเทศ (Reopening) มากขึ้น เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และโรงแรม รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ตามแนวโน้มเงินเฟ้อ และหุ้นที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยเป็นการย้ายจากหุ้นอ้างอิงกลุ่มพลังงานที่ชะลอความร้อนแรงลง