Energy Sector (19 มี.ค.64)

Energy Sector (19 มี.ค.64)

ราคานํ้ามันดิบอยู่ในกำมือของ OPEC+

Event

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิรวมของหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่เก้าบริษัทในปี 2564 ขึ้นอีก 19%เป็น 1.877 แสนล้านบาท และปี 2565 ขึ้นอีก 15% เป็น 2.199 แสนล้านบาท เนื่องจากเราปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบ และ spread ของ LDPE, PP, BZ, PTA, PET เพิ่มขึ้น แต่ปรับลด spread น้ำมันดีเซลลง (Figure 1)

Impact

ตลาดนํ้ามันดิบ: OPEC+ จะยังคงระดับการผลิตนํ้ามันเดือนเมษายนส่วนใหญ่เอาไว้ใกล้เคียงระดับเดิม

OPEC+ ตกลงที่จะคงระดับการลดการผลิตน้ำมันเอาไว้เท่าเดิมไปจนถึงเดือนเมษายน แต่อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มอนุญาตให้รัสเซียและคาซัคสถานเพิ่มการผลิตขึ้นได้อีก 130KBD และ 20KBD ตามลำดับ ในขณะเดียวกันซาอุดิอาระเบียตกลงที่จะขยายเวลาการลดอุปทานโดยสมัครใจ 1.0MBD ต่อไปถึงเดือนเมษายนเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดน้ำมันดิบเอาไว้ เราเชื่อว่าซาอุดิอาระเบียจะไม่รีบยุติการลดอุปทานโดยสมัครใจ 1.0MBD และบงชี้ว่าการเพิ่มอุปทานจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2564 กลุ่มกบฏ Houthi ที่มีอิหร่านหนุนหลังได้ส่งโดรนและจรวดมิสไซล์เข้าไปโจมตีท่าเรือขนส่งน้ำมัน Ras Tanura ในซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นท่าขนส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำการส่งออกมาถึง 5-6MBD (6-7% ของอุปสงค์น้ำมันโลก) ถึงแม้ว่าการผลิตน้ำมันดิบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีดังกล่าว แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งทะยานขึ้นไปเหนือ US$70/bbl เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เนื่องจากตลาดเป็นกังวลกับสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในตะวันออกกลาง ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2564/65 ขึ้นจากเดิมที่ US$53/55/bbl เป็น US$65/65/bbl และปรับเพิ่มราคาระยะยาวเป็น US$60/bbl จากเดิมที่ US$55/bbl

ตลาดโรงกลั่น: เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นปี 2564F

เราเชื่อว่า spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส และบางผลิตภัณฑ์อาจจะกลับสู่ระดับปกติได้ใน 2H64 เนื่องจาก i) อุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงไปและการนำวัคซีนออกมาใช้ในวงกว้างในปีนี้ และ ii) มีการปิดโรงกลั่น และเปลี่ยนไปเป็น terminal หรือ
โรงงานผลิต biofuel ประมาณ 1.5MBD ในปี 2563 และ 1.0MBD ในปี 2564 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 2%ของกำลังการผลิตติดตั้งทั่วโลก (Figure 6) นอกจากนี้ เราคาดว่าตลาดโรงกลั่นยังได้แรงหนุนจากปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากสภาพอากาศที่หนาวจัดในรัฐ Texas ของสหรัฐเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโดย spread ของน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ US$7-8/bbl และ spread ของน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ US$5-6/bbl เนื่องจากมีการปิดโรงกลั่นหลักหลายแห่งใน Texas ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมอย่างต่ำ 5MBD ซึ่งมากกว่าหนึ่งในสี่ของกำลังการกลั่นทั้งประเทศของสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ปรับลดสมมติฐาน spread ของน้ำมันดีเซลปี 2564/65 ลงจากเดิมที่ US$12.0/14.0/bbl เหลือ US$10.0/13.0/bbl แต่ยังคงสมมติฐาน spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินเอาไว้ที่ US$9.0/6.0/bbl ในปี 2564 และ US$11.0/12.0/bbl ในปี 2565

ตลาดปิโตรเคมี: ปรับ spread บางตัวจากการเกิด polar vortex ในรัฐ Texas ประเทศสหรัฐ

เรายังคงเชื่อว่าตลาด olefins จะถูกกดดันจากอุปทาน PE ใหม่ที่สูงถึง 7.8MTA ในปี 2564 และ 7.9MTAในปี 2565 เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตตามปกติของอุปสงค์ PE ที่ 4.0MTA นอกจากนี้ เรายังคงมองว่า อุปทาน aromatics ใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาในตลาดในปีนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ที่ 2.5MTA เท่านั้นจาก 7.8MTA ในปีที่แล้ว ซึ่งจะช่วยหนุนตลาด aromatics เหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เราปรับเพิ่ม spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีบางตัวหลังจากที่อุปทานตึงตัวจากสภาพอากาศที่หนาวจัดในรัฐ Texas ของสหรัฐเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเราปรับสมมติฐาน spread ของ LDPE ปี 2564-65 ขึ้นอีก 5-17% เป็น US$700/ton ในปี 2564 และ US$610/ton ในปี 2565, ปรับ spread ของ PP ขึ้นอีก 14%เป็น US$650/ton สำหรับทั้งปีนี้และปีหน้า, ปรับ spread ของ BZ-over-condensate ขึ้นอีก 47% เป็นUS$250/ton ในปีนี้ และอีก 35% เป็น US$270/ton ในปีหน้า หลังจากที่ spread ของ LDPE, PP และ BZ ใน 1Q64 พุ่งขึ้นถึง 15% QoQ เป็น US$955/ton, 11% QoQ เป็น US$814/ton และ 89% QoQ เป็น
US$257/ton ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มสมมติฐาน spread ของ PTA ในซีกโลกตะวันตกอีก21% เป็น US$230/ton ในปี 2564 และปรับเพิ่มสมมติฐาน spread ของ PET ทั้งในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกในปี 2564 อีก 9-12% เป็น US$250/ton และ US$140/ton ตามลำดับ เนื่องจากอุปสงค์ของ PET ที่สูงตามฤดูกาล (ตามปกติจะอยู่ในไตรมาสที่สอง) มาเร็วกว่าปกติในปีนี้

Valuation and action

ยังคงเลือก TOP, ESSO และ SPRC เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงานปี 2564 สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว เรายังคงเลือก Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)* และ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากเรามองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นในปี 2564 เราชอบหุ้นโรงกลั่นที่มีกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นมากกว่า 50% ของ EBITDA รวม อย่างเช่น TOP, ESSO และ SPRC สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้น เราแนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้นปิโตรเคมีอย่างเช่น PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)*, IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* และ Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 1Q64 เนื่องจาก spread ปิโตรเคมีขยับสูงขึ้นจากการเกิด polar vortex ในรัฐ Texas โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTTGC ซึ่งเราคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทใน 1Q64 จะพุ่งขึ้นไปจนเกือบถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบสิบไตรมาส แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำถือ IVL เนื่องจากเรายังเป็นห่วงอุปทาน PTA ที่จะ
เพิ่มเข้ามาในตลาดมากถึง 11.8MTA ในปี 2564 และ 7.1MTA ในปี 2565 นอกจากนี้ เรายังสนใจ PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* และ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* ด้วยเนื่องจากราคาหุ้นทั้งสองตัวมี upside ถึงราคาเป้าหมายของเราสูงถึงเกือบ 33% และ 25% ตามลำดับ (ถือเป็นหุ้น laggard เมื่อเทียบกับหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมีตัวอื่นๆ) เราเชื่อว่าราคาหุ้นของ PTT และ PTTEP จะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ทรงตัวในระดับสูงที่ US$60-70/bbl ไปตลอดทั้งปีนี้จากความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในการลดอุปทานของสมาชิก OPEC+